นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์โดยเรียกร้องให้จุฬาและอุเทนถวายหาทางออกอย่างสันติในกรณีที่ดินพิพาท เพราะทั้งสองสถาบันต่างใช้ที่ดินของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินประทานให้เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาเหมือนกัน ดังนั้น จึงต้องมีใจโอบอ้อมอารีต่อกันและกัน พร้อมระบุถึงความจริงได้พิสูจน์กรณีช่วยอภิสิทธิ์ชนหนีคดีขับรถชนตำรวจเสียชีวิต
นายจตุพร กล่าวถึงกรณีอภิสิทธิ์ชนขับรถชนตำรวจเสียชีวิตว่า วันนี้ได้รับการพิสูจน์แล้ว เพราะ ป.ป.ช.สั่งดำเนินคดีอาญากับ 8 ผู้ต้องหาในกรณีเปลี่ยนแปลงสำนวนและลดความเร็วรถของนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ที่ขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ เสียชีวิต เมื่อวันที่ 3 ก.ย.2555 อีกทั้งมีนายชูชัย หรือพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายก อบจ.เชียงใหม่ เป็นหนึ่งใน 8 คนต้องถูกฟ้องคดีอาญาด้วย
"เมื่อทุกเรื่องความจริงที่ปราศรัยหาเสียงไว้เมื่อคราวเลือกตั้งนายก อบจ.ได้ปรากฎขึ้น ทั้งการกล่าวหาบางคนเป็นคน พปชร. เรื่องคดีบอส ดังนั้น คนที่พยายามให้เป็นเรื่องเท็จนั้น จึงเป็นหน้าที่ต้องไปอธิบายความกับคนเชียงใหม่อย่างไร เพราะวันนั้นไม่เคยยอมรับความจริง แต่สุดท้ายว่าคนอื่นไว้ทั้งหมดก็กลับเป็นเองด้วยหลักฐานเป็นที่ประจักษ์”
ส่วนมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวายชุมนุมเรียกร้องใช้พื้นที่พิพาทกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายจตุพร กล่าวว่า อุเทนถวายมีพื้นที่ใช้เพียงประมาณ 20 ไร่จาก 1,200 กว่าไร่ที่จุฬา ได้รับจากเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินให้เป็นสถานศึกษา ถ้ามีท่าทีถ้อยที่ถ้อยอาศัยต่อกันแล้วย่อมหาทางยุติความบาดหมางนี้ได้แน่นอน
นายจตุพร กล่าวว่า จุฬาจะเอาข้อกฎหมายมาบังคับให้อุเทนถวายออกจากพื้นที่โดยไร้จิตใจโอบอ้อมอารีย์ตามประสาการจัดการศึกษาของรัฐระหว่างกันคงไม่ถูกต้องเสมอไป เพราะอุเทนถวายอยู่มานานถึง 93 ปี ซึ่งเนินนานมาก ไม่ใช่เพิ่งอยู่มาแค่ 10-20 ปีเท่านั้น
"จุฬาควรทำใจเปิดกว้างให้กับอุเทนถวาย เพราะเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐที่สร้างคนไปพัฒนาประเทศเหมือนกัน อีกอย่างจุฬาก็มีพื้นที่มาก กว้างใหญ่ และไม่มีความเดือดร้อนในการบริการทางการศึกษาเลย ดังนั้น จึงหวังว่า เรื่องนี้ควรแก้ปัญหาด้วยสันติซึ่งกันและกัน โดยยึดหลักผลประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้ง เพราะที่ดินล้วนเป็นของหลวงที่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินได้ประทานให้มาเพื่อการศึกษาเช่นกัน"
นายจตุพร กล่าาวถึง ความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ว่า เป็นเรื่องขัดแย้งของบุคคลที่เกิดขึ้นเป็นคราวๆ ไป แต่สิ่งที่ใหญ่กว่านั้นคือ การยกเครื่องปฏิรูปตำรวจอย่างจริงจังให้อาชีพตำรวจมีความเป็นอิสระ มีสถานะอย่างเป็นระบบตามกระบวนการยุติธรรมอย่างอัยการและศาลที่ยกเครื่องไปแล้ว
นอกจากนี้ ได้เรียกร้องให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล (บิ๊กต่อ) ผบ.ตร. ใช้เวลาที่เหลืออยู่ในตำแหน่งยกเครื่องปฏิรูปตำรวจ โดยมองข้ามความขัดแย้งระดับบุคคลไป เพราะสิ่งนี้มีมาต่อเนื่องในการแย่งชิงตำแหน่ง ผบ.ตร.คนใหม่ ซึ่งแม้บิ๊กต่อจะเกษียณในตุลาคมนี้ แต่ความขัดแย้งก็ยังไม่สิ้นสุดลง
อย่างไรก็ตาม บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่ยังเหลืออายุราชการอีกหลายปี (เกษียณปี 2574) ก็ไม่ได้มั่นใจว่าเวลาที่เหลืออยู่จะได้ขึ้นเป็น ผบ.ตร.หรือไม่ เพราะระบบของตำรวจที่เป็นอยู่ไม่ได้ถูกออกแบบให้เกิดความโปร่งใสในระดับการบริหารองค์กรตามกระบวนการยุติธรรม
"ระบบตำรวจได้เป็นแค่ช่องว่างให้เกิดการทำมาหากิน จนระบบคุณธรรมไม่มีพลังนำพาไปสู่ความเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้น ควรยกเครื่องใหม่โดยปฏิรูปให้ตำรวจต้องรู้ตัวเองก่อนว่า ได้รับความยุติธรรมเช่นกัน จึงจะอำนวยความยุติธรรมให้กับความเดือดร้อนของประชาชนได้"
นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าสภาพตำรวจยังอยู่กับการวิ่งเต้นตลอดเวลาแล้ว ทุกอย่างย่อมหาเงินไปใช้จ่ายเพื่อความเจริญก้าวหน้าในอาชีพตำรวจ ดังนั้น เมื่อระบบคุณธรรมไม่เกิดขึ้นเป็นจริงในวงการตำรวจประชาชนย่อมไม่ศรัทธา
"สิ่งใหญ่กว่าตัวคนคือระบบ และถ้าระบบไม่ได้รับการแก้ไขอย่างควรจะเป็นแล้ว จึงหวังว่า นายกฯ จะได้คิดอ่านแก้ไข ยกเครื่องและจัดระบบคุณธรรม ไม่ให้มีการวิ่งเต้นอีก ซึ่งจะทำให้องค์กรมีความแข็งแรงมากขึ้น”
นอกจากนี้ นายจตุพร กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองในอนาคตอันใกล้ว่า ยังมีตัวแปรสำคัญทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล โดย สว.อภิปรายทั่วไป 25 มีนาคม และ 10 เมษายนอัยการสูงสุดมีคำสั่งคดี ม.112 ของทักษิณ ชินวัตร แล้วถัดไป สว.หมดวาระ 11 พ.ค. ความร้อนแรงจะเริ่มเดือดยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม กรอบเวลาที่ให้ศึกษาโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 30 วัน ซึ่งจะครบประมาณ 17 มีนาคม อีกอย่างนายเศรษฐา ทวีสิน เดินทางไปตามประเทศตั้งแต่ 4-14 มีนาคม และยังมีคดีของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ศาลนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 4 มีนาคม ซึ่งศาลจะอ่านคำพิพากษาเลยหรือเลื่อนไปอีกก็น่าสนใจ
"ปัจจัยทางการเมืองเหล่านั้นจะเรียงกันมา โดยดิจิทัลวอลเล็ตจะนำเข้า ครม.อาจไม่ผ่านพรรคร่วมรัฐบาลก็ได้ ซึ่งจะเป็นการเมืองอีกแบบหนึ่ง หากคิดไปถึงว่า ก้าวไกลยึด สว.ได้ ก็จะคุมการแต่งตั้งองค์กรอิสระ และยึดการเลือกตั้ง อบจ. แล้วลามไปถึงโอกาสได้เสียงข้างมากใน สส.อีกด้วย"
นายจตุพร กล่าวว่า สิ่งเหล่านี้เป็นโจทก์ใหญ่ทางการเมือง โดยมีต้นเหตุมาจากความไม่ตรงไปตรงมาของพรรคเพื่อไทยและกรณีทักษิณ กลับบ้านได้สร้างความแข็งแกร่งให้กับก้าวไกล เพราะความล้มเหลว การทิ้งจุดยืน และการตระบัดสัตย์นั้น ทำให้คนที่สิ้นหวังต้องไปหาสิ่งที่จะเป็นความหวังกันใหม่อีก คือ ก้าวไกลที่ต้องมาแบกความหวังเอาไว้
อีกทั้งกล่าวว่า สภาจะดันให้ผ่านงบประมาณ 2567 ในเมษายนนี้ จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุด แต่จะส่งผลให้ประเทศมากมายยังไม่เห็นชัด ซึ่งต้องพิจารณาเป็นช่วงๆ ในการดีลกันไว้ หากมีการเบี้ยวดีลจะเกิดสถานการณ์ใหม่ขึ้นอีก
ประเทศไทยต้องมาก่อน