ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) มองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทสัปดาห์ถัดไป (27 ก.พ.-1 มี.ค.) ที่ระดับ 35.70-36.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินลงทุนต่างชาติ รายงานเศรษฐกิจและการเงินเดือนมกราคม ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย รายได้/การใช้จ่ายส่วนบุคคล และอัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก PCE/Core PCE Price Indices เดือนมกราคม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และดัชนี ISM/PMI ภาคการผลิตเดือนกุมภาพันธ์ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/66 (ครั้งที่ 2) และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์ ของยูโรโซน รวมถึงดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนมกราคม ของจีน ญี่ปุ่น และยูโรโซนด้วยเช่นกัน
โดยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (19-23 ก.พ.) เงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงต้นสัปดาห์ ท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย หลังตัวเลขจีดีพีไทยปี 2566 เติบโตเพียง 1.9% และสภาพัฒน์ฯ ได้มีการปรับทบทวนประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ลงมาที่กรอบ 2.2-3.2% อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกแข็งค่าหลุดระดับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงกลางสัปดาห์ตามทิศทางของเงินหยวน ประกอบกับน่าจะมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก และแรงซื้อสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของต่างชาติ
ทั้งนี้ เงินบาทอ่อนค่ากลับไปอีกครั้งในช่วงปลายสัปดาห์ ตามภาพรวมของสกุลเงินในภูมิภาค ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวแข็งค่ากลับมาตามบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ที่ขยับขึ้นจากการคาดการณ์ว่า เฟดจะไม่รีบลดดอกเบี้ยในรอบการประชุมใกล้ๆ นี้
โดยในวันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ (ก่อนช่วงตลาดนิวยอร์ก) เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 36.07 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับ 36.02 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (16 ก.พ.)
สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ระหว่างวันที่ 19-23 กุมภาพันธ์ 2567 นั้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 8,948 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทย 4,753 ล้านบาท (ซื้อสุทธิพันธบัตร 4,755 ล้านบาท หักตราสารหนี้หมดอายุ 2 ล้านบาท)