นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ โดยประเมินว่า สถานการณ์รัฐบาลหลังทักษิณ ชินวัตร พักโทษ 18 ก.พ.นี้จะเผชิญหน้ากับทางสองแพรงต้องเลือกเดิน คือ รักษาดีลหรือเบี้ยวดีล
“ถ้ารัฐบาลและทักษิณ ไม่เบี้ยวดีลข้อตกลงกันแล้ว อาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในช่วงมีนาคมก็ได้ ถ้าเบี้ยวกันแล้วความจริงหลากหลายจะปรากฎขึ้นทันที แล้วนำไปสู่อีกสถานการณ์หนึ่งชนิดคาดไม่ถึง”
นายจตุพร กล่าวว่า การเรียกร้องให้ทักษิณ ไปติดคุกตามคำพิพากษาคดีทุจริตนั้น เพราะเขาเคยประกาศเคารพกระบวนการยุติธรรม และยอมรับกระทำความผิดจริง แสดงว่ายอมรับคำพิพากษา ดังนั้น ถ้ายืนมั่นคงแบบนักต่อสู้ตายเป็นตายแล้ว หรือกล้าไปติดคุกคนจะยอมรับถึงความยิ่งใหญ่ของนักต่อสู้
“กองเชียร์ทักษิณ อย่ากล่าวอ้างการถูกยึดอำนาจมาลบล้างคดีทุจริตที่มีโทษติดคุก แต่ไม่ได้ติดสักวันเดียว ขณะที่นักต่อสู้ฝ่ายประชาชนที่ติดคุกยังคลางแคลงใจการทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนของผู้นำการต่อสู้”
ส่วนการดีลทางการเมืองนั้น นายจตุพร ย้ำว่า มักจบไม่ดีสักราย โดยดูจากความไม่ปกติของบ้านเมืองที่เกิดปรากฎการณ์ชั้น 14 แล้วนำไปสู่หน่วยงานรัฐพยายามบิดเบือนว่า ทักษิณ ได้พักไทษเป็นไปตามระเบียบ ตามกฎหมาย แล้วนักโทษคนอื่นได้รับสิทธิ์ตามกฎหมายแบบพักชั้น 14 ถึง 180 วันหรือไม่
นายจตุพร กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดการเป็นผู้นำคือความรับผิดชอบและการเป็นแบบอย่าง เพราะการต่อสู้ที่ผ่านมาไม่ได้หวานเย็น มันมีคนตายเป็นร้อย บาดเจ็บ 2,000 ราย และสูญสิ้นอิสรภาพนับไม่ถ้วน ดังนั้น ผู้นำแม้ต้องคดีจากเรื่องอื่นก็ตาม ควรเป็นตัวอย่างเพื่อบรรเทาความรู้สึกของสังคม
“การไปหลงไหลความสำเร็จในอดีต แต่ไม่ใส่ใจความล้มเหลวอันเป็นชนวนปัญหาทั้งมวลนั้น ทำให้เกิดความเข้่้าใจผิด แล้วการสรรเสริญนั้นจะนำไปสู่ปัญหาในอนาคต ประวัติศาสตร์ยังไม่รู้จักจดจำอีกเหรอกับการชุมนุมต่อต้านการนิรโทษสุดซอย ที่เคยหยามไว้ว่าไม่มีคนมาชุมนุม”
นายจตุพร กล่าวว่า สถานการณ์บ้านเมืองนับจากวันที่ 15 ก.พ. ซึ่งเป็นการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลชุดใหญ่ อีกทั้งถ้าฝ่ายทักษิณและรัฐบาล เบี้ยวดีลแล้วจะนำไปสู่สถานการณ์ใหม่หรือไม่ จึงต้องจับตาดูกันไว้ เพราะแรงกระเพื่อมจะตามมาอย่างคาดไม่ถึงกัน
ประเทศไทยต้องมาก่อน