นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการปะทะกันของกลุ่มมวลชนทะลุวัง และ ศปปส. ว่า ไม่เห็นด้วยต่อการใช้ความรุนแรง ไม่ได้ส่งผลดีต่อประเทศและทุกฝ่าย แต่จุดเริ่มต้นอันเป็นที่มาของเหตุการณ์ เกิดจากมีบุคคลไปป่วนขบวนเสด็จ ดังนั้นความเข้มแข็งของเจ้าหน้าที่รัฐทั้งในเรื่องการป้องกันและจริงจังในการบังคับใช้กฎหมาย ยังเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งในการปกป้องดูแลสังคมให้อยู่กันด้วยความสงบเรียบร้อย โดยเฉพาะรัฐบาลที่มีหน้าที่โดยตรงในเรื่องดูแลความสงบเรียบร้อยต้องมีนโยบายให้ชัด แต่เหตุการณ์รุกรานขบวนเสด็จผ่านมาหลายวันกลับแทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวจากรัฐบาล เพิ่งจะมีเมื่อวานนี้ที่นายกรัฐมนตรีได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญมากกว่านี้ นายกรัฐมนตรีควรจริงจังหยิบยกไปพูดคุยกันอย่างเป็นทางการ คณะรัฐมนตรีทุกคนจะต้องมีความรู้สึกกับเรื่องนี้ให้มากกว่านี้ อยากรู้เช่นกันว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารนี้จะมีการหยิบยกไปพูดคุยกันอย่างเป็นทางการหรือไม่
นายราเมศ กล่าวว่า การทำหน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์นั้น แม้พรรคจะเป็นฝ่ายค้านร่วมกันกับพรรคก้าวไกล แต่ได้ย้ำเสมอว่า เราทำงานร่วมกันในสภาได้ แต่อุดมการณ์ในหลายเรื่อง เรามีจุดยืนที่แตกต่างกัน การที่มีสมาชิกพรรคก้าวไกลมาลอยหน้าลอยตาให้สัมภาษณ์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สังคมก็รับไม่ได้ต่อแนวคิดที่ยังเอื้ออาทรต่อผู้กระทำผิดรุกรานขบวนเสด็จ
อีกทั้งแถลงการณ์ของพรรคก้าวไกลก็ผิดเพี้ยนไปจากหลักความถูกต้องเพราะยังคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งไม่เป็นความจริง เรื่องดังกล่าวที่เกิดขึ้นเกิดจากจิตสำนึกที่เลวร้ายที่ต้องการละเมิดต่อกฎหมายละเมิดต่อสถาบัน การสื่อสารต่อสาธารณะที่ผิดเพี้ยนก็เป็นประเด็นที่จะทำให้เกิดความวุ่นวายตามมาอีกไม่รู้จบ
ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ได้มีการเก็บข้อมูลเพื่อส่งต่อให้กรรมาธิการที่ทำหน้าที่ในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาเรื่องนิรโทษกรรม เพื่อให้มีการพูดคุยกันในเรื่องคดีที่เกี่ยวกับความผิดมาตรา 112 ที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคดีที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 112 เพราะมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สำหรับในส่วนของ สส. ก็จะได้ใช้กลไกในสภาเพื่อพิจารณาในเรื่องมาตรการการป้องกันความปลอดภัยขบวนเสด็จ ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันเพื่อมิให้คนที่คิดร้ายต่อประเทศชาติย่ามใจได้อีกต่อไป