xs
xsm
sm
md
lg

“หมอดื้อ”เผยผลวิจัยพบเบียร์มีหรือไม่มีแอลกอฮอล์ กลับบำรุงสุขภาพ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า เบียร์มีหรือไม่มีแอลกอฮอล์ กลับบำรุงสุขภาพ

รายงานในปี 2022 นี้เอง จนกระทั่งมีคำอุปมาว่า เบียร์วันละแก้ว อาจช่วยไม่ให้ต้องพึ่งหมอ เหมือนกับที่เราเคยได้ยินได้ฟังว่า กินแอปเปิล วันละลูก หมอไปไกลๆได้เลย

ทั้งนี้ เป็นรายงานจากคณะผู้วิจัยจากประเทศโปรตุเกส ตีพิมพ์ในวารสาร Agriculture and food chemistry โดยเป็นการศึกษาวิจัยที่รัดกุมและมีตัววัดหรือประเมินโดยการวิเคราะห์จุลินทรีย์หรือแบคทีเรียในลำไส้ว่ามีความหลากหลายเพิ่มขึ้นหรือไม่

จุดประสงค์ใหญ่ของการศึกษาชุดนี้ น่าที่จะเป็นการประนีประนอมกันหรือไม่ กับกระแสการต่อต้านการดื่มแอลกอฮอล์ที่เริ่มออกมาว่าไม่ควรจะดื่มเลยแม้แต่จะน้อยนิดก็ตาม

และในอีกประเด็นหนึ่งเพื่อที่จะพิสูจน์ว่า ตามตำนานความเชื่อที่ว่าเบียร์นั้นดีต่อสุขภาพ ช่วยระบบต่างๆจิปาถะ จริงไหม และถ้าเบียร์ที่ว่าดีนั้น เกิดดีจริง การที่มีแอลกอฮอล์เข้าไปอยู่ด้วยจะไปเจือจางความดีจนหายไปและกลายเป็นโทษอย่างเดียว

ตามปกติ ในคำแนะนำของสหรัฐ ในปี 2020 ถึง 2025 Dietary Guidelines for Americans จะมีระดับของแอลกอฮอล์ที่สามารถบริโภคได้คือ วันละหนึ่งแก้วหรือหนึ่งดริ้งค์ นั่นก็คือมีปริมาณแอลกอฮอล์ 14 กรัมสำหรับผู้หญิง สำหรับผู้ชายนั้นสามารถขึ้นได้ โดยถึง สองดริ้งค์ต่อวันหรือเทียบเท่ากับ 28 กรัม โดยคิดง่ายๆก็คือ ผู้ชายเท่ากับสองกระป๋อง กระป๋อง 1 เท่ากับ 330 ซีซี ในขนาดแอลกอฮอล์คือ 4% (ผู้หญิงก็เป็นหนึ่งกระป๋องไป)

แต่ถ้าจะสั่งเป็นแก้ว เช่น หนึ่งไพท์ (pint) ปริมาณจะเยอะหน่อยในระบบอเมริกัน จะเท่ากับ 473 ซีซี ระบบอังกฤษเท่ากับ 568 ซีซี (ดังนั้นดูด้วย เวลา ที่มีลดราคา เวลาแฮปปี้ happy hour เป็นไพท์ระบบไหน)

สำหรับหลักฐานทางประโยชน์ของเบียร์หรือแอลกอฮอล์มีอยู่หลายชิ้นพอสมควรที่จะไปเพิ่มระดับของไขมันดีและลดระดับของไขมันเสีย มีการลดเลือดหนืดผ่านทางเกร็ดเลือด และบรรเทาการดื้ออินซูลิน แต่กระนั้นก็ตามประโยชน์ที่อาจจะพึงมี ต่อเส้นเลือดในร่างกายรวมกระทั่งถึงหัวใจและเบาหวาน จะถูกบดบังกับการที่ดื่มเบียร์แล้วอ้วนลงพุง ขี้เกียจไม่ออกกำลัง ร่วมกับกินอาหารหรือกับแกล้ม ที่ก่อให้เกิดการอักเสบ และยังมีความเสี่ยงของการเป็นมะเร็ง

ที่คณะผู้วิจัยพรรณาไว้ก็คือ ในเบียร์นั้น มีโพลีฟีนอล จาก ฮอปมาก ซึ่งในการเพาะบ่มเบียร์นั้น การที่ใส่ฮอป ไป เพื่อกลิ่นรสและความขม และก็ยังมี พรีนิลฟลาโวนอยด์ ที่ชื่อ แซงโธฮิวมอล (xanthohumol) โดยการศึกษาระดับพริคลินิก คือศึกษาในสัตว์ทดลองไม่ใช่คน ได้ผลการศึกษาที่น่าสนใจโดยสารดังกล่าว น่าที่จะลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคที่เกี่ยวพันกับสารอนุมูลอิสระ และก่อให้เกิดโรคเรื้อรังทั้งโรคอ้วนและเบาหวาน และในระหว่างกระบวนการเพราะบ่มเบียร์ แซงโธฮิวมอล จะมีการปรับโครงสร้างกลายเป็น ไอโซแซงโธฮิวมอล ซึ่งมีฤทธิ์ในทางเป็นประโยชน์เช่นกัน

ส่วนประกอบโพลีฟีนอลในเบียร์ เมื่อตกถึงลำไส้จะมีผลในการปรับสภาพของจุลินทรีย์ทั้งปริมาณชนิดและความหลากหลาย ถึงจนกระทั่งมีเบียร์หลายยี่ห้อ มีส่วนประกอบเป็นจุลินทรีย์ดีเจือปนเข้าไปด้วย

โครงการศึกษาจุลินทรีย์ในลำไส้ที่ใหญ่ที่สุดโครงการหนึ่งโดยมีประชากรศึกษาเป็นจำนวนมาก ได้แก่ Flemish Gut Flora Project แสดงให้เห็นว่าการดื่มเบียร์ในคนที่มีสุขภาพแข็งแรงจะส่งผลในการปรับสภาพจุลินทรีย์ในลำไส้ให้เป็นตัวดี

เพราะฉนั้น การมีหรือไม่มีแอลกอฮอล์จะส่งผลต่างกันหรือไม่โดยคณะผู้วิจัยแบ่ง ผู้ร่วมการศึกษาเป็นสองกลุ่มโดยมีอายุระหว่าง 18 ถึง 65 ปีและไม่มีโรคประจำตัวเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับระบบกระเพาะและทางเดินอาหารรวมกระทั่งถึงโรคลำไส้หงุดหงิด และไม่มีโรคหัวใจขาดเลือด เบาหวาน เส้นเลือดตีบที่ขา ไม่มีโรคติดเชื้อเอชไอวีหรือไวรัสตับอักเสบและไม่เคยใช้ยาปฏิชีวนะในช่วงระยะเวลาสี่อาทิตย์ก่อนหน้าและไม่ใช้ยาระบายในช่วงสองอาทิตย์ก่อนหน้า และไม่ใช่เป็นคนติดเหล้าติดยาหรือสารเสพย์ติดอย่างอื่น การวิจัยลงทะเบียนใน clinical trials NCT03513432

ตลอดช่วงเวลาของการวิจัย การออกกำลังและสภาพการทำงานจะอยู่ในระดับเดิม รวมกระทั่งถึงชนิดและปริมาณของอาหารการกิน อาสาสมัครจะไม่ทราบว่าดื่มเบียร์มี (5.2%) หรือไม่มีแอลกอฮอล์ (0%) โดยเบียร์ที่ใช้เป็นลาเกอร์เบียร์ (lager beer) โดยที่ทราบปริมาณของ ไอโซแซงโธฮิวมอล และแซงโธฮิวมอล ด้วยการตรวจ HPLC-DAD หลังจาก SPE extraction

ทั้งก่อนและหลัง การศึกษา ที่กินเวลา 4 อาทิตย์ จะมีการเก็บอุจจาระ และ วิเคราะห์เลือดอย่างละเอียด (serum cardiometabolic markers) และส่วนประกอบของร่างกาย ด้วยเครื่อง In Body และบันทึกผล ลักษณะชนิดประเภทของอาหารการกินด้วย food frequency questionnaire การวิเคราะห์ชนิดและความหลากหลายของจุลินทรีย์ด้วยการเตรียม DNA libraries (V3 และ V4 regions) จนถึงการวิเคราะห์มาตรฐานตามแบบที่เราใช้กัน

นอกจากการที่ดูความหลากหลายของจุลินทรีย์แล้ว ยังทำการประเมินดัชนีของการอักเสบในลำไส้และมีการรั่วของเยื่อบุผนังลำไส้หรือไม่โดยการหา fecal alkaline phosphatase activity

ผลของการศึกษาในอาสาสมัครกลุ่มละ 11 คนที่ติดตามเป็นระยะเวลาสี่อาทิตย์ พบว่าทั้งสองกลุ่มมีการเพิ่มของจุลินทรีย์ชนิดที่เป็นตัวดีหรือมีประโยชน์มากกว่า 20 ชนิด และไม่พบว่ามีความเปลี่ยนแปลงในน้ำหนัก ปริมาณและการกระจายตัวของไขมันในร่างกายรวมกระทั่งถึงดัชนีชี้วัด สภาพคาร์ดิโอเมตาบอลิคในเลือด

ผลของการศึกษานี้ แตกต่างจากรายงานใน วารสารแอลกอฮอล์ในปี 2020 ทำที่ อริโซนา สหรัฐโดยได้ทำการศึกษาทั้งชายและหญิงที่อยู่ใน เม็กซิโกอายุระหว่าง 21 ถึง 53 ปีโดยให้ดื่มเบียร์ไม่มีแอลกอฮอล์วันละ 12 ออนซ์ (1 ออนซ์ ประมาณ 30 ซีซี) กับเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ในปริมาณ 4.9% เป็นเวลา 30 วันโดยที่เห็นความดีงามในเฉพาะกลุ่มที่ดื่มเบียร์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ โดยที่มีการเพิ่มความหลากหลายของจุลินทรีย์

ทั้งนี้การศึกษาในปี 2020 ไม่ได้จำเพาะเจาะจง โดยอาสาสมัครไม่ได้มีสุขภาพสมบูรณ์ทุกคน ซึ่งอาจอธิบายความแตกต่างของผลการศึกษาทั้งสองชิ้นนี้ได้

บทสรุป การดื่มเบียร์ให้ได้ประโยชน์นั้น สำหรับคนที่สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงอยู่แล้วไม่ได้มีโรคประจำตัว น่าที่จะดื่มได้ ทั้งชนิดไม่มี หรือ มีแอลกอฮอล์ และที่น่าสนใจก็คือ เบียร์ลาเกอร์ อาจจะดีกว่า โดยที่มีคุณสมบัติทำให้เยื่อบุผนังลำไส้มีความแข็งแรงขึ้น แต่ข้อจำกัดที่คนดื่มเบียร์ทุกคนทราบก็คือ เบียร์ไม่มีแอลกอฮอล์ ดูรสชาติประหลาด และหัวหน้าทีมผู้วิจัยให้สัมภาษณ์ว่า รสชาติ “a bit wierd”

สำหรับคนที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้วทางเมตาบอลิค อ้วนลงพุงเบาหวานความดันสูงไขมันผิดปกติ โรคทางเส้นเลือด ท่าทางน่าจะอยู่กับเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ดีกว่า ทั้งนี้ โดยถือผลของจุลินทรีย์ในลำไส้ที่จะส่งผลก่อให้เกิดการอักเสบในลำไส้ ทะลุไปเข้าเลือดกระจายไปทั่วร่างกายแม้กระทั่งกระทบสมอง

ดังนั้น ถ้าอยากจะดื่มอย่างมีความสุข ก็ปรับสุขภาพให้เป็นปกติเร็วที่สุด จะได้รับอานิสงส์จากการดื่มเบียร์แอลกอฮอล์ ได้ซะที ว่าแล้วก็เชียร์สสสส ครับ