นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส. นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊ก เทพไท เสนพงศ์-คุยการเมือง ระบุว่า สภาอันทรงเกียรติ กับความเปลี่ยนแปลง
ผมเคยเป็น ส.ส.มาหลายสมัย มีความรู้สึกว่า ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสภาของผู้ทรงเกียรติ การอภิปราย การแสดงความเห็น และการแต่งกายในการเข้าประชุม ก็เป็นไปตามข้อบังคับ ซึ่งอนุญาตให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ใส่สูทสากลนิยม หรือเสื้อชุดพระราชทานเท่านั้น
แต่เพึ่งมาเห็นความเปลี่ยนแปลง และความหลากหลายมากยิ่งขึ้น เมื่อปี 2562 ซึ่งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายคน แต่งตัวค่อนข้างเปลี่ยนแปลงไปจากการแต่งกายของ ส.ส.ในอดีตที่ผ่านมา มีบางคนใส่เสื้อคอจีน บางคนใส่เสื้อเชิ้ตไม่ผูกเน็คไท บางคนใส่เสื้อผ้าพื้นถิ่น บางคนใส่เสื้อของกลุ่มชาติติพันธ์ ซึ่งทำให้ผมต้องตั้วคำถามกับตัวเองว่า มันเป็นความเป็นอิสระที่ไร้ระเบียบเกินไปหรือไม่ แต่ก็ไม่ได้แสดงความเห็นอะไรมากนัก เพราะคิดว่า เราไม่ควรจะติดยึดรูปแบบ เอาแต่เนื้อหาดีกว่า
แต่ยิ่งนานวันการแต่งตัวของ ส.ส. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นตามลำดับ ทำให้ผมมีความรู้สึกว่า ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นสภาอันทรงเกียรติ กำลังจะเป็นเหมือนสภาของการแสดง ใครนึกจะทำอะไรในที่ประชุมสภาก็ได้ ทั้งยกป้าย ปรบมือ ซึ่งเมื่อก่อนการจะนำสิ่งของใดๆเข้าสู่ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร จะต้องได้รับอนุญาตจากประธานที่ประชุมก่อน แม้แต่การหยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน ก็ต้องขออนุญาต เพราะข้อบังคับไม่อนุญาตให้อ่านเอกสารโดยไม่จำเป็น แต่ปัจจุบันการอ่านเอกสารในแผ่นกระดาษ อาจจะน้อยเกินไป มีการอ่านผ่านแท็บเล็ต โชว์พาวเวอร์พอยท์ ประกอบการอภิปราย กันเป็นส่วนใหญ่ จนเกิดเป็นแฟชั่นหรือกระแสความนิยมว่า ถ้าใครอภิปรายโดยไม่ใช้ภาพ PowerPoint ประกอบ ทำให้รู้สึกเชย ไม่ทันสมัย อะไรในทำนองนั้น ซึ่งสมัยก่อนเอกสารประกอบการอภิปรายจะมีแต่แผ่นชาร์จที่วางบนขาตั้งเท่านั้น
วันนี้เห็นข่าวการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ทั้งผู้ทำหน้าที่เป็นประธานที่ประชุม และผู้อภิปรายแต่งชุดประจำถิ่นแบบมลายู ก็รู้สึกแปลกใจว่า ข้อบังคับการประชุมสภาชุดนี้ มีการอนุญาตให้แต่งชุดแบบนี้เข้าประชุมสภาได้หรือ? ทั้งที่ผู้แต่งไม่ได้เป็นคนมลายู หรือมีชาติติพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับการแต่งกายแต่อย่างใด หรือว่าต่อไปนี้ใครจะนำชุดอะไรมาแต่งกายเข้าประชุมก็ได้ เพราะสภาผู้แทนราษฎรเปรียบเสมือนโรงละคร หรือเวทีการแสดงอย่างอย่างนั้นหรือ?
ผมขอแสดงความห่วงใย และความรู้สึกในฐานะที่คนที่เคยเป็นส.ส.และเคยอยู่ในสภาอันทรงเกียรติเคยเป็นนักการเมืองมาเป็นเวลาร่วม 20 ปี กลับตกยุค ตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยเสียแล้ว???