นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดเผยภายหลังการเข้ารับการไต่สวนต่อคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นัดไต่สวนพยานบุคคล คำร้องที่คณะกรรมการการเลือกตั้งขอให้พิจารณาวินิจฉัยกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น ซึ่งประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อสารมวลชนใดๆ อยู่ในวันที่สมัครรับเลือกตั้ง สส. แบบบัญชีรายชื่อ เป็นเหตุให้สมาชิกภาพ สส. ของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่ และศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัย และสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. นับแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2566 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
ทั้งนี้ ศาลได้ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง ในการไต่สวนพยาน 3 ปาก เป็นพยานฝั่งผู้ถูกร้อง 2 คน คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.พรรคก้าวไกล กับนายคิมห์ สิริทวีชัย ผู้ทำหน้าที่ประธานในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นไอทีวี เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 และยังเป็นผู้เซ็นรับรองในรายงานบันทึกการประชุม ส่วนพยานอีก 1 คน เป็นฝั่งผู้ร้อง คือ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ที่ศาลเรียกให้มาไต่สวน
สำหรับประเด็นที่ตุลาการศาลซักถามในการไต่สวนคือ บริษัทไอทีวี ในวันที่นายพิธาได้รับมรดก และถือหุ้น ในฐานะทายาทหรือผู้จัดการมรดก สรุปว่าเป็นสื่อมวลชนใดใดหรือไม่ และในการถือหุ้นนั้นในฐานะอะไร มีข้อมูลว่าเป็นการถือหุ้นในฐานะทายาทโดยธรรมด้วยหรือไม่ ในการได้รับมรดกจากบิดา
นายพิธา กล่าวว่า บรรยากาศระหว่างการไต่สวนเป็นไปตามที่คาดหวัง พอใจกับกระบวนการและได้ไต่สวนตามข้อเท็จจริงที่ตั้งใจไว้ทุกประการ รู้สึกพอใจ ส่วนรายละเอียดในการชี้แจงตนคงให้สัมภาษณ์ไม่ได้ เพราะจะเป็นการละเมิดศาล แต่ในส่วนข้อเท็จจริงที่สื่อมวลชนได้เคยนำเสนอเกี่ยวกับการยุติจากประกอบกิจการไอทีวี หรือสถานะผู้จัดการมรดกของตนเอง ก็ได้รับการไต่สวนจากศาล และฝ่ายกฎหมายของผู้ร้องและผู้ถูกฟ้องครบถ้วน แต่รายละเอียดตนไม่สามารถเปิดเผยได้
สำหรับการไต่สวนครั้งนี้มีพยาน 3 ปาก คือ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ในฐานะพยานผู้ร้อง นายคิมห์ สิริทวีชัย ผู้ทำหน้าที่ประธานในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นไอทีวี และตนเอง จากการฟังน้ำหนักพยานและหลักฐานจากตนเองและผู้ร้องแล้ว ไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ เพราะจะเป็นการชี้นำและละเมิดศาลได้ แต่สิ่งที่จะให้สัมภาษณ์ได้ คือพอใจและเป็นไปตามที่หวังไว้ทุกประการ ซึ่งสามารถบอกได้แค่นี้ ส่วนรายละเอียดขอให้รอการสรุปอย่างเป็นทางการจากทางสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ หลังจากนี้ไม่มีการนัดไต่สวนโดยจะมีการนัดตัดสินหรือการอ่านคำวินิจฉัยเลย
นายพิธา ย้ำว่า มั่นใจว่าได้ทำตามหน้าที่ในฐานะผู้ถูกฟ้องอย่างเต็มที่แล้ว ส่วนความคาดหวังต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตนไม่ได้คาดหวังอะไร แต่มั่นใจว่าจะได้รับความเป็นธรรมและความยุติธรรม ในกรณีนี้หากคำพิพากษาเป็นคุณ ก็หวังว่าจะกลับไปทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทันที
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยในวันพุธ ที่ 24 มกราคม 2567 เวลา 14.00น