พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 (ผบก.ตม.2) และ โฆษกสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีคนไทยและต่างชาติเดินทางเข้า-ออกระหว่างประเทศ โดยเฉพาะที่สนามบินสุวรรณภูมิ กว่าวันละ 1.5 แสนคนจากเดิมวันละ 1.2 แสนคน ต่อวัน เนื่องจากนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว วีซ่าฟรี ของทางรัฐบาล ว่า ปัจจุบันสนามบินอาจแออัดของผู้โดยสาร เนื่องจากการขยายตัวของเที่ยวบินและผู้โดยสารเดินทางเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะสนามบินสุวรรณภูมิเทียบกับพื้นที่อาคารผู้โดยสารที่มีในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องใช้วิธีบริหารจัดการ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ให้กระทบต่อผู้เดินทางในช่วงที่มีเที่ยวบินหนาแน่น ซึ่งจะมียอดคนเข้าประเทศสูงสุดราว 5,000-6,000 คนต่อชั่วโมง และคนออกประเทศสูงสุดราว 4,000 -5,000 คนต่อชั่วโมง ทาง บก.ตม.2 ในฐานะรับผิดชอบการตรวจคนเข้า-ออก ทางด่าน ตม.สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ ทำหน้าที่คัดกรองผู้โดยสารเดินทางเข้า-ออกประเทศ ภายใต้หลักความมั่นคงของประเทศกำหนดมาตรการรองรับสำคัญได้แก่
1.จัดกำลังพลเสริมหน้าที่เวรโดยให้ จนท.ตม.เสริมเวรประจำเคาน์เตอร์ ก่อนเวลาเข้าเวรปกติ 3-4 ชม.เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนกำลังพล โดยได้รับการสนับสนุน จนท.ตม.จากด่านต่างๆทั่วประเทศ จาก พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม.มาอีก 150 นายซึ่งจะจัดกำลังพลประจำเคาน์เตอร์ตรวจเข้าและออก ได้มากที่สุดทั้งนี้ช่วงเทศกาลปีใหม่ขอความร่วมมือจนท.ตม.งดขาด ลาพักผ่อนเพื่อช่วยกันดูแลพี่น้องที่เดินทางระหว่างประเทศได้อย่างเต็มกำลัง
2. ใช้วิธีการเกลี่ยปริมาณผู้โดยสาร(ขาเข้า)ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ทั้ง 3 โซนให้สมดุลกันโดยหากฝั่งใดที่มีผู้โดยสารลงเครื่องหลายเที่ยวบินพร้อมกันเป็นคลื่นผู้โดยสารมากขนาดใหญ่ทางฝั่งใด หากโถงตม.ฝั่งนั้นเริ่มเต็มก็จะมีจนท.ตม.แจ้งให้ผู้โดยสารไปโซนถัดไปที่หนาแน่นน้อยกว่าจะทำให้ได้รับการตรวจหนังสือเดินทางได้เร็วขึ้น
3.ผู้โดยสารที่มีเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ จะมีการคัดแยกให้รับการตรวจที่ช่องทาง Priority เพื่อความสะดวก รับการตรวจ
4.สำหรับผู้โดยสารคนไทยลดขั้นตอนการสแกนลายนิ้วมือที่ช่องตรวจหนังสือเดินทางไทย ทั้งขาเข้าและขาออกเนื่องจากคนไทยมีฐานข้อมูลหนังสือเดินทางไทยในระบบอยู่แล้ว
5.ประสานงานร่วมกับสายการบินกรณีพบผู้โดยสารที่เสี่ยงตกเครื่องในขาออกให้ประสานกับทาง ตม.ขาออก เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทันขึ้นเครื่อง
และ 6.พัฒนาระบบ Autometic channel ขาออกสนามบินสุวรรณภูมิ ให้รองรับการตรวจคนต่างชาติที่ใช้ E-passport กว่า 70 ชาติทั่วโลกโดยเริ่มใช้งานตั้งแต่ 15 ธ.ค. ที่ผ่านมาเป็นของขวัญปีใหม่ของ สตม.ตามนโยบายนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี
1.จัดกำลังพลเสริมหน้าที่เวรโดยให้ จนท.ตม.เสริมเวรประจำเคาน์เตอร์ ก่อนเวลาเข้าเวรปกติ 3-4 ชม.เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนกำลังพล โดยได้รับการสนับสนุน จนท.ตม.จากด่านต่างๆทั่วประเทศ จาก พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม.มาอีก 150 นายซึ่งจะจัดกำลังพลประจำเคาน์เตอร์ตรวจเข้าและออก ได้มากที่สุดทั้งนี้ช่วงเทศกาลปีใหม่ขอความร่วมมือจนท.ตม.งดขาด ลาพักผ่อนเพื่อช่วยกันดูแลพี่น้องที่เดินทางระหว่างประเทศได้อย่างเต็มกำลัง
2. ใช้วิธีการเกลี่ยปริมาณผู้โดยสาร(ขาเข้า)ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ทั้ง 3 โซนให้สมดุลกันโดยหากฝั่งใดที่มีผู้โดยสารลงเครื่องหลายเที่ยวบินพร้อมกันเป็นคลื่นผู้โดยสารมากขนาดใหญ่ทางฝั่งใด หากโถงตม.ฝั่งนั้นเริ่มเต็มก็จะมีจนท.ตม.แจ้งให้ผู้โดยสารไปโซนถัดไปที่หนาแน่นน้อยกว่าจะทำให้ได้รับการตรวจหนังสือเดินทางได้เร็วขึ้น
3.ผู้โดยสารที่มีเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ จะมีการคัดแยกให้รับการตรวจที่ช่องทาง Priority เพื่อความสะดวก รับการตรวจ
4.สำหรับผู้โดยสารคนไทยลดขั้นตอนการสแกนลายนิ้วมือที่ช่องตรวจหนังสือเดินทางไทย ทั้งขาเข้าและขาออกเนื่องจากคนไทยมีฐานข้อมูลหนังสือเดินทางไทยในระบบอยู่แล้ว
5.ประสานงานร่วมกับสายการบินกรณีพบผู้โดยสารที่เสี่ยงตกเครื่องในขาออกให้ประสานกับทาง ตม.ขาออก เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทันขึ้นเครื่อง
และ 6.พัฒนาระบบ Autometic channel ขาออกสนามบินสุวรรณภูมิ ให้รองรับการตรวจคนต่างชาติที่ใช้ E-passport กว่า 70 ชาติทั่วโลกโดยเริ่มใช้งานตั้งแต่ 15 ธ.ค. ที่ผ่านมาเป็นของขวัญปีใหม่ของ สตม.ตามนโยบายนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี