นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ ว่า เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ที่ผ่านมา ได้พูดคุยกับนักลงทุนญี่ปุ่นกว่า 500 ราย ในงานสัมมนาของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จากนี้บีโอไอ กระทรวงคมนาคม จะต้องตามเรื่องดังกล่าวต่อกับนักลงทุน และในเรื่องนี้บริษัทในอาเซียนเอง เช่น จากประเทศอินโดนีเซีย ก็ให้ความสนใจ ซึ่งก่อนเดินทางมาญี่ปุ่นก็มีเอกชนกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มใหญ่มาเจอตน แสดงความสนใจอย่างมากที่จะร่วมลงทุนด้วย ซึ่งต้องพูดคุยกัน เพราะผลประโยชน์ของภูมิภาคนี้ ขึ้นอยู่กับโครงการแลนด์บริดจ์ด้วยเช่นกัน
ส่วนการพูดคุยกับนักลงทุนญี่ปุ่นเกี่ยวกับเรื่องโครงการแลนด์บริดจ์ ในวันที่ 18 ธันวาคมนี้ เราจะบอกความตั้งใจในการดำเนินโครงการ เพราะปริมาณสินค้าที่ขนถ่ายผ่านช่องแคบมะละกา เช่น น้ำมัน ที่ทั่วโลกใช้ช่องทางดังกล่าวในการขนส่งถึง 60% ซึ่งช่องแคบมะละกามีความแน่นอาจเกิดอาจเกิดอุบัติเหตุได้ และทำให้มีความล่าช้าในการขนส่งต้นทุนก็อาจสูงขึ้น ฉะนั้นการที่เราสร้างโครงการแลนด์บริดจ์ ไม่ใช่การแย่งธุรกิจ เพราะกว่าจะเสร็จประมาณ 10 ปี ปริมาณการค้าทางทะเลทั่วโลกก็จะสูงขึ้น ทั้งนี้ เพื่อนบ้านเราทั้งมาเลเซียและสิงคโปร์จะได้รับผลกระทบในเรื่องนี้ที่คาดว่ารายได้ตรงนี้จะหายไป เพราะผลสำรวจเบื้องต้นการค้าขายทางเรือจะสูงขึ้น แต่หากไม่มีจะเป็นปัญหา และช่องแคบมะละกาในปัจจุบันมีความหนาแน่น หากเราสร้างโครงการแลนด์บริดจ์ได้จะช่วยการขนส่งของทั้งโลก