นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทยเดือนพฤศจิกายน 2566 เท่ากับ 107.45 เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2565 ซึ่งเท่ากับ 107.92 ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงร้อยละ 0.44 (YoY) ลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 และต่ำสุดในรอบ 33 เดือน สาเหตุสำคัญยังคงเป็นมาตรการภาครัฐด้านพลังงาน ที่ทำให้สินค้าในกลุ่มพลังงานปรับลดลง โดยเฉพาะราคาน้ำมันในกลุ่มดีเซล และแก๊สโซฮอล์ 91
นอกจากนี้ เนื้อสุกร ไก่สด และน้ำมันพืช ราคาต่ำกว่าปีที่ผ่านมา สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่นๆ ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางปกติ ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐาน เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออก สูงขึ้นร้อยละ 0.58 (YoY) อัตราเงินเฟ้อของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ข้อมูลล่าสุดเดือนตุลาคม 2566 พบว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยลดลงร้อยละ 0.31 ซึ่งอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำ โดยอยู่ระดับต่ำอันดับ 8 จาก 135 เขตเศรษฐกิจที่ประกาศตัวเลข และยังคงต่ำที่สุดในอาเซียนจาก 7 ประเทศที่ประกาศตัวเลข (สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย) โดยอัตราเงินเฟ้อของไทยเคลื่อนไหวในทิศทางที่สอดคล้องกับในหลายประเทศทั่วโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง
ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพฤศจิกายน 2566 เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2566 ลดลงร้อยละ 0.25 (MoM) โดยหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ 0.58 ตามการลดลงของค่ากระแสไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิงทุกประเภท ค่าโดยสารรถไฟฟ้า รวมทั้ง น้ำยาปรับผ้านุ่ม ผงซักฟอก สบู่ถูตัว ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว และโฟมล้างหน้า สำหรับสินค้าที่ราคาสูงขึ้น เช่น ค่าโดยสารเครื่องบินและรถจักรยานยนต์รับจ้าง เครื่องถวายพระ อาหารสัตว์เลี้ยง บุหรี่ และสุรา ขณะที่หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ 0.23 สินค้าที่ราคาสูงขึ้น เช่น ข้าวสาร ขนมอบ ไก่สด ปลาและสัตว์น้ำ (ปลาทู ปลาหมึก หอยลาย กุ้งนาง) เป็นช่วงมรสุมปริมาณผลผลิตเข้าสู่ตลาดน้อยลง ผักสด (คะน้า แตงกวา มะเขือ) ปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกบางส่วนได้รับความเสียหายจากภาวะน้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับเกิดโรคใบหงิกในผักใบหลายชนิด รวมทั้งซีอิ๊ว ซอสหอยนางรม น้ำปลา อาหารโทรสั่ง (Delivery) ก๋วยเตี๋ยว และอาหารเช้า ราคาปรับสูงขึ้นเล็กน้อย สำหรับสินค้าที่ราคาลดลง อาทิ เนื้อโค ไข่ไก่ และผลไม้สด (ส้มเขียวหวาน มะละกอสุก องุ่น) เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลของผลไม้หลายชนิด
สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคเฉลี่ย 11 เดือน (ม.ค.- พ.ย.) ปี 2566 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 สูงขึ้นร้อยละ 1.41 (AoA) ซึ่งอยู่ในกรอบล่างของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อปี 2566 (ร้อยละ 1.0-3.0)
ส่วนแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนธันวาคม 2566 มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจากช่วงเดือนที่ผ่านมา ตามราคาสินค้าในกลุ่มอาหาร โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ และเครื่องประกอบอาหาร กลุ่มพลังงาน ทั้งค่ากระแสไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิงในกลุ่มดีเซล และแก๊สโซฮอล์ รวมถึงสินค้าอุปโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพอีกหลายรายการ และต้นทุนการผลิตที่ปรับลดลง จากมาตรการลดค่าครองชีพให้กับประชาชน ประกอบกับฐานราคาในช่วงเดียวกันของปี 2565 อยู่ระดับสูงมีส่วนทำให้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง กระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2566 อยู่ระหว่างร้อยละ 1.0-1.7 (ค่ากลางร้อยละ 1.35) ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน
แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2567 คาดว่าจะชะลอตัวต่อเนื่องจากปี 2566 โดยมีปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลง เช่น มาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐที่คาดว่าจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มการปรับขึ้นราคาสินค้าสำคัญค่อนข้างจำกัด เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว ทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น และหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง อาจเป็นปัจจัยกดดันการบริโภคของประชาชนบางกลุ่ม สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับตัวดีขึ้น เช่น ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำ และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง และเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 66 รวมถึงการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการของรัฐ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ อาทิ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ค่าเงินบาทที่ผันผวน และมาตรการภาครัฐที่ส่งผลต่อราคาอาจมีหลากหลายรูปแบบ
ด้วยเหตุผลตามข้างต้น กระทรวงพาณิชย์จึงคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2567 จะอยู่ระหว่างร้อยละ (-0.3) – 1.7 (ค่ากลางอยู่ที่ร้อยละ 0.7) ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจของไทย และหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจะมีการทบทวนอีกครั้ง
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเดือนพฤศจิกายน 2566 ปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 55.0 จาก 55.8 ในเดือนก่อนหน้า ยังคงอยู่ในช่วงเชื่อมั่นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 12 (นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 65) เป็นการปรับลดลงทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันและในอนาคต (3 เดือนข้างหน้า) สาเหตุมาจากการที่เศรษฐกิจฟื้นตัวไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยส่งผลให้ประชาชนมีภาระหนี้สินมากขึ้น และสินค้าเกษตรบางรายการราคาลดลง อย่างไรก็ตาม ฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วงปลายปีคาดว่าจะส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องปรับตัวดีขึ้น การส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่อง และมาตรการช่วยเหลือด้านหนี้สินจะส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นในระยะต่อไป