นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเลตจะยังไม่เริ่มจนกว่ากระบวนการทางกฎหมายต่างๆ ของโครงการนี้จะเสร็จสิ้น รวมถึงหากมีคนยื่นตีความไปที่ศาล ก็ต้องรอ เพราะหากศาลวินิจฉัยว่าทำไม่ได้ แต่ถ้าโครงการนี้เริ่ม คนใช้เงินไปแล้วมันถอยหลังลำบาก เพราะฉะนั้นถือว่าโครงการต้องมีความชัดเจนของกฎหมายทั้งหมด
นายจุลพันธ์ ยืนยันว่า รัฐบาลจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งโครงการดิจิทัลวอลเลตเป็นหนึ่งในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เพราะหากเรายังปล่อยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวในระดับปีละ 2% และรัฐบาลยังคงขาดดุลงบประมาณปีละ 6-7 แสนล้านบาทต่อปี ภายในปี 2570 หนี้สาธารณะของรัฐบาลจะพุ่งทะลุกรอบวินัยการเงินการคลังที่กำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ70 ของจีดีพี
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวอีกว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวในระดับเฉลี่ยปีละร้อยละ 5 จะเป็นการช่วยลดภาระหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของรัฐบาลในระยะปานกลาง เนื่องจาก หนี้สาธารณะเป็นสัดส่วนต่อจีดีพี เมื่อจีดีพีขยายตัว ระดับหนี้สาธารณะก็จะมีสัดส่วนต่ำลง ซึ่งหากเราไม่ทำอะไร และปล่อยให้หนี้สาธารณะของรัฐบาลทะลุร้อยละ70 ถึงตอนนั้นมันจะเป็นอันตรายต่อเครดิตเรตติ้งของรัฐบาลซึ่งอาจถูกปรับลดลง
นายจุลพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้สถานการณ์ของประเทศอยู่ในช่วงอันตรายและเปราะบาง ซึ่งการประกาศอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศในแต่ละครั้งในช่วงที่ผ่านมา มีการปรับลดลงเรื่อยๆ จากช่วงต้นปีที่อยู่ในระดับร้อยละ 3.8 มาปัจจุบันปรับลดลงเหลือร้อยละ 2.6 แต่เมื่อถึงสิ้นปีนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะลดลงเหลือเท่าไร อาจจะลดลงต่ำกว่าร้อยละ 2.5 ก็ได้
สำหรับประเด็นในเรื่องข้อกฎหมายว่ารัฐบาลจะสามารถออก พ.ร.บ.เพื่อกู้เงิน ตามมาตรา 53 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐได้หรือไม่นั้น ซึ่งต้องเข้าตามเงื่อนไขของกฎหมาย เช่น มีความจำเป็นต้องดำเนินการ หรือสถานการณ์เศรษฐกิจอยู่ในช่วงวิกฤต ซึ่งในมุมมองของรัฐบาล มองว่ามันวิกฤต นอกจากนี้ ความล่าช้าของการใช้ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ซึ่งคาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ จะทำให้ช่วงต้นปีหน้าเกิดช่องว่างของการลงทุนในประเทศ