นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "กรรม!!" โดยสะท้อนถึงการโหวตนายกฯ เมื่อ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา แสดงถึงบ้านเมืองต้องรับกรรมแห่งอนาคต เมื่อกลุ่มอำนาจก่อภาวะแปลกแปร่งทิ้งร่องรอยคืนอำนาจระหว่างฝ่ายรัฐประหาร (รปห.) มา 9 ปี แล้วส่งมอบกลับให้พรรคเพื่อไทยที่ถูกยึดอำนาจ ราวกับเป็นการแสดงละครหยามหน้าประชาชนและดูถูกเป็นคนโง่เง่าสิ้นเชิง
นายจตุพร กล่าวว่า ผลโหวตให้นายเศรษฐา ทวีสิน จากพรรคเพื่อไทยเป็นนายกฯ เสร็จสิ้นไปตามการดีลที่เปลี่ยนแปลงสมยอมฉับพลันเมื่อเช้าก่อนช่วง 11 โมงเช้าของวันที่ 22 ส.ค. โดยกลุ่มอำนาจรัฐประหารยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อปี 2557 ได้ตกลงคืนอำนาจให้พรรคเพื่อไทยเป็นที่เรียบร้อย ด้วยกระบวนส่งคืนผ่านการโหวตของ ส.ว. ในรัฐสภา ซึ่งดูเสมือนประชาชนได้ชมการแสดงละครของ คสช.ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ส่งต่ออำนาจให้พรรคเพื่อไทยการละครประมาณนั้น
ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่เก็บตัวนิ่งเงียบมาตลอดการดีลนั้น นายจตุพร กล่าวว่า คงเจ็บปวดใจอย่างที่สุด อาจถึงขั้นต้องซดน้ำใบบัวบก เพื่อบรรเทาใจไม่บันดาลแรงให้ไปถึงนายกฯ ตามความมุ่งหวังสักครั้งของช่วงวัยที่เหลืออยู่
"ลักษณะและลีลาของ พล.อ.ประยุทธ์ มักลงมือนาทีสุดท้ายเป็นสำคัญ เมื่อได้อำนาจมา 9 ปีก็มาทำเป็นของเล่น ยึดมาจากไหนก็คืนไปที่นั่น ไม่มีอะไรติดค้างกัน ยิ่ง พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา (น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์) เปล่งเสียงโหวตเห็นชอบครับ แล้วทหารระดับพลเอกทั้งหลายก็เห็นชอบไปด้วย ซึ่งเป็นใบเสร็จที่ผ่านการดีลกันมาได้ชัดเจน"
นายจตุพร ประเมินการเมืองหลังการโหวตนายเศรษฐา เป็นนายกฯ ว่า ประเทศจะเกิดความวุ่นวายไปหมดจากกรรมที่กลุ่มอำนาจแสดงละครส่งมอบอำนาจ เพราะไม่เหลือหลักศีลธรรม ไม่มีกลุ่มประชาธิปไตย แล้วยังสลายฝ่ายอนุรักษ์นิยม ดังนั้นการละครครั้งนี้ จึงแทบไม่เหลือหลักยึดการวิเคราะห์อนาคตของบ้านเมืองอีกแล้ว
อีกทั้งระบุว่า สิ่งสำคัญการเมืองกับการโหวตนายกฯนั้น สะท้อนถึงการยึดอำนาจที่ผ่านมาได้คืนความสุขกลับไปให้พรรคเพื่อไทยที่ถูกยึดอนาจไปเรียบร้อยตามกระบวนการ คสช. ผ่านตัวแสดงในรัฐสภาของ ส.ว. ที่แต่งตั้งมา
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้การชำแหละของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่เปิดประเด็นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ไว้ถึง 3 ครั้ง ย่อมสะเทือนรัฐบาลเสียงข้างมากให้หมดสิ้นความชอบธรรมจนอยู่ไม่ได้
"จากนี้ไปเรื่องราวที่คุณชูวิทย์ เปิดประเด็นไว้จะไม่สูญเปล่า เพราะจะมีทั้งคดีอาญา และจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงน่าติดตามสิ่งที่น่าจะเป็นไป เมื่อฝ่ายหนึ่งดูเสมือนได้ชัยชนะ แต่อีกฝากหนึ่งรู้สึกเสียหน้าตามสมควรย่อมคิดเอาคืนถัดจากนี้ไป"
พร้อมกล่าวว่า การโหวตนายกฯ ที่ผ่านมา ยังแสดงถึงพรรคก้าวไกลกับเพื่อไทยจะเป็นฝ่ายตรงข้ามกันอย่างชัดเจน และคงไม่เผาผีกัน ส่วนฝ่ายเสื้อแดงประชาชธิปไตยหัวก้าวหน้าก็อาจตีจากจากเพื่อไทย และกลุ่มแนวร่วมที่ยึดมั่นในสัจจะวาจาต้องแยกย้ายกันไป ประกอบกับเพื่อไทยคงเดินไปถึงจุดถูกยุบพรรคในวันที่ประชาชนไม่เหลืออะไรเลย ซึ่งสิ่งนี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่ง่ายเลยของบ้านเมือง
"ดูร่องรอยแล้วมีอะไรแปลกแปร่งอยู่หลายกรณีมากที่ผิดวิสัย ผิดปกติ ผิดทำนองคลองธรรม มีการการตระบัดสัตย์และไปจับมือพรรคที่ประกาศว่าไม่จับมือด้วยก็หนักอยู่แล้ว แต่นี่ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา โหวตเห็นชอบ (นายกฯ เศรษฐา) ยิ่งเป็นสิ่งที่กองเชียร์เพื่อไทยต้องใคร่ครวญว่า จะยินดีด้วยหรือไม่กับชัยชนะอันเริงร่าครั้งนี้"
นายจตุพร กล่าวว่า การโหวตนายกฯ ที่ผ่านมานั้น ได้เห็นความสมยอมของอำนาจ เสมือนประชาชนถูกต้ม ขณะที่นายนิติธร ล้ำเหลือ วิทยากรคณะหลอมรวมอีกคนหนึ่งเห็นว่า เป็นการแสดงละครทางอำนาจโดยนำสถาบันกษัตริย์มาอ้างหาประโยชน์ เท่ากับหยามหน้าประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งพรรคก้าวไกลคงถูกนำเรื่องนี้มาอ้างเช่นกันและก็น่าเป็นไปได้
สำหรับโผ ครม.นั้น นายจตุพร กล่าวว่า คงหา รมต.คลัง ที่ชำนาญการมาเป็นได้ยาก ขณะเดียวกันกลับมีความชัดเจนในโผ รมต.พลังงาน ที่พรรคคุมมาก่อนต้องได้ดูกระทรวงนี้ต่อไป ถึงที่สุดแล้ว ทั้งหมดเป็นเพียงโผ ครม. ที่ยังไม่ชัดเจน แต่พฤติกรรมรีบเร่งหลังการโหวตนายกฯ เสร็จแล้ว กลับมีการแต่งชุดขาวของหลายคนรอรับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกฯ ซึ่งต้องรอเก้อ เพราะถูกเลื่อนออกไป
อีกทั้งย้ำว่า เมื่ออำนาจเห็นร่องรอยเปิดหน้าเล่นกันชัดเจน จึงแสดงถึงสงครามนี้คงไมาจบกันง่ายๆ เพราะร่องรอยที่นายชูวิทย์ เปิดทิ้งไว้จะสำแดงและระบาดอย่างคาดไม่ถึง จึงต้องประเมินปรากฎการณ์์ในช่วง 20 กว่าวัน ก่อนถึงวันที่รัฐบาลจะได้มีอำนาจปฎิบัติหน้าที่จริงอีกครั้ง
"ดังนั้น ประชาชนจะมีความภูมิใจกับการตระบัตดสัตย์ในรอบนี้หรือไม่ หรือชอบใจกับผู้ยึดอำนาจมายกมือให้กับผู้ถูกยึดอำนาจหรือไม่ ถ้ายอมรับกันได้ว่าต้องการแบบนี้ แสดงว่าที่ผ่านมาประชาชนไม่ต้องต่อสู้อะไรกันแล้ว ต้องเลิกต่อสู้เพราะไม่มีความหมายใดๆ เลย แล้วคนเสื้อแดงที่ตายก็ตายไป เมื่อวันหนึ่งยังมาสนับสนุนผู้ได้รับผลประโยชน์กันหมด เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีการกระทำตรงไปตรงมา และตลบตะแลงเ แล้วทำเหมือนประชาชนรู้สึกว่าโง่ ถูกต้ม"
นายจตุพร กล่าวว่า กลุ่มที่กำลังเริงร่ากับชัยชนะได้ตั้งรัฐบาล ก็เชิญหาความสำราญได้เต็มที่ แต่เมื่อวันใดประชาชนตั้งหลักได้ แล้วตามหาร่องรอยแปลกแปร่งต่างๆ ที่มีอำนาจแต่ไม่เกี่ยวข้องกับประเทศชาติได้ประโยชน์เลย คงทำให้ประชาชนต้องคิดมากที่สุดในวันถัดๆ ไป
ส่วนการกลับไทยของทักษิณ ชินวัตร นั้น นายจตุพร กล่าวว่า ตามหลักแล้วโทษติดคุก 8 ปีต้องผ่านด่าน 1 ใน 3 ของโทษคดีแรก 3 ปีก่อน คือ 1 ปี จึงจะขอพระราชทานอภัยโทษได้ เมื่อถูกนำตัวเข้าเรือนจำพิเศษ ถูกกักขังที่สถานพยาบาล แดน 7 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ต้องขังกองนอกมีหน้าที่ลอกท่อ เมื่อไปทำงานแล้วจะได้ลดโทษแบบวันเว้นวัน ซึ่งนักโทษใฝ่ฝันอยากไปลอกท่อที่สุด เพราะหนึ่งเดือนได้ลดโทษเหลือติดคุกแค่ 15 วัน
ส่วนการขอพระราชทานอภัยโทษนั้น นายจตุพร กล่าวว่า คงต้องแยกพิจารณาเป็นรายคดี ที่มีทั้งสิ้น 3 คดี แต่ต้องผ่านการติดคุกก่อน ดังนั้น การขอพระราชทานฯ กรมราชภัณฑ์ต้องชี้แจงให้ชัดว่า จะเริ่มจากโทษคดีแรก 3 ปีก่อน เมื่อครบแล้ว จากนั้นจึงมาเข้ากระบวนการของคดีที่ 2 และ 3 รวมอีก 5 ปี
รวมทั้ง ระบุว่า อาคารพยาบาล แดน 7 นั้น ผู้ต้องขังอย่างนายราเกซ สักเสนา นายวาสนา เพิ่มลาภ นายปริญญา นาคฉัตรรีย์ หรือไผ่ ดาวดิน และนายเพนกวิน ตลอดจนนักการเมืองหหลายคน เคยถูกคุมตัวมาก่อน โดยช่วงนั้นจะมีแยกซอยเป็นห้องเล็กๆ เพื่อคุมขัง แต่เดี๋ยวนี้ปรับปรุงยกชั้น 2 ของอาคาร ให้เป็นที่กักขังนักโทษชื่อ ทักษิณ คนเดียว
นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อทักษิณ กลับไทย ได้โรคสุขภาพจาก รพ.ราชทัณฑ์ พบเป็นโรคประจำตัวถึง 4 โรค คือ โรคหัวใจ ปอดอักเสบ ความดันโลหิตสูง และโรคกระดูกสันหลังเสื่อม ซึ่งหนักสาหัสสากรรจ์จึงต้องมีหมอและพยาบาลประจำไว้คอยดูแลพิเศษ
อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวด่วนจากนายสุทธิชัย หยุ่น และ THE STANDARD NEWS พร้อมมติชนออนไลน์ ระบุตรงกันว่า ทักษิณ อาการป่วยกำเริบต้องย้ายด่วนมายัง รพ.แห่งหนึ่งกลาง กทม.เมื่อเวลาตีหนึ่งของคืนวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยมีการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด กระทั่งสายวันที่ 23 ส.ค.นี้ กรมราชทัณฑ์ ชี้แจงข่าวสั้นเ ระบุป็นความจริงที่ส่งทักษิณ ไปรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ
ประเทศไทยต้องมาก่อน