พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
-ครอบครัวพวกเราแต่งชุดนักเรียนไปเรียนกันมาตั้งแต่รุ่นปู่จนมาถึงรุ่นเหลนแล้ว ทุกคนก็มีความสุขกับเครื่องแบบนี้มากครับ เพื่อนๆก็รักกันมาจนทุกวันนี้ ทุกข์ด้วยกัน สุขด้วยกัน เดือดร้อนแทนกันได้ ก็เพราะมีความทรงจำดีๆสนุกสนานในวัยเด็ก ซึ่งมี “เครื่องแบบนักเรียน” นี้เกี่ยวข้องอยู่ด้วยเป็นส่วนใหญ่
จนถึงปัจจุบันนี้ เครื่องแบบนักเรียนยังเป็นสิ่งที่ระบุความเป็น”พวกเดียวกัน” เชื่อมโยงผูกพันพวกเราเข้าหากัน เป็นศิษย์ร่วมสถานศึกษาเดียวกันอย่างเต็มภาคภูมิ แม้บางครั้งจะทำนอกเหนือกฏระเบียบไปบ้าง เช่น การร่วมกันแอบครูสูบบุหรี่ รวมกลุ่มไปมีเรื่องกับนักเรียนโรงเรียนอื่น เพื่อแย่งตำแหน่งราชันย์ขาสั้น หรือการซ่อนสูตรคณิตศาสตร์เวลาเข้าสอบไว้ใต้ขากางเกง เวลาจะดูก็แค่พับขึ้นมา แล้วยังมีความถนัดในการเตะบอลพลาสติก ขณะเดียวกันก็สามารถ
เข้าเรียนได้ทันทุกที เป็นต้น
ส่วนนักเรียนหญิงก็ไม่ต้องมาเสียเวลาเลือกชุดเสื้อผ้าตอนตื่นเช้า เพื่อไม่ให้ซ้ำกับเมื่อวานนี้ ซึ่งถ้าไม่แต่งเครื่องแบบ ก็ต้องมีองค์ ประกอบของชุดที่ใส่ ตามมาอีกมาก เช่น กระเป๋า ร้องเท้า สร้อยคอ สร้อยคอมือ สร้อยข้อเท้า ฯลฯ
-ในขณะที่ ความสะดวกอย่างหนึ่งของ “การไม่แต่งเครื่องแบบนักเรียน” ที่เด็กกลุ่มหนึ่งต้องการน่าจะเป็นเรื่องที่ สามารถไปเที่ยวต่อได้เลย ก็เท่านั้นเอง
-เครื่องแบบนั้นที่ทำให้รู้ว่า คนไหนเป็นครู คนไหนเป็นนักเรียน
ที่สำคัญ คือ เป็นการเตือนให้เรารู้ว่า เรากำลังทำหน้าที่อะไรอยู่ และเป็นการเรียนรู้ที่จะเคารพกติกาของการอยู่ร่วมกัน รวมทั้งกติกาของสังคมที่เราต้องออกไปเผชิญในอนาคตอีกด้วย
-นักวิชาการญี่ปุ่นคนหนึ่งกล่าวว่า การนึกถึง”โรงเรียนเก่า หรือ เรื่องที่เกิดขึ้นจากการใส่เครื่องแบบเชยๆ” นั้น ถือเป็นการพักผ่อนสมอง(ซีกซ้าย) ที่เรามักจะใช้มันทำงานอย่างหนักมาเกือบทุกวัน โดยให้สมองซีกขวา ซึ่งเป็นสมองส่วนของความสุขได้ทำงานบ้าง
อ่านแล้วลองจิตนาการทำดูซิครับ