นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ กล่าวถึงการจับกุมผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ว่า ระบบตำรวจล้าหลัง และมีการบริหารราชการแบบโบราณ ไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมไทย ตำรวจมีอำนาจมากเกินไป ข่าวการจับกุมตำรวจเรียกรับผลประโยชน์มีอยู่ตลอด โดนจับแล้วก็ไม่เข็ดหลาบ กรณีเช่นนี้จึงต้องดำเนินการอย่างจริงจัง ควรตั้งข้อหาฟอกเงิน อายัดทรัพย์สินทั้งครอบครัว ไม่ใช่แค่ดำเนินการทางวินัยและอาญาเหมือนที่ผ่านมา กรณีตำรวจเรียกรับประโยชน์ มีการทำกันเป็นองค์กรอาชญากรรม มีกระบวนการ ร่วมมือกันหลายคน ทั้งคนที่เป็นตำรวจและคนที่ไม่เป็นตำรวจ มีการฟอกเงิน จึงต้องดำเนินคดีตามกฎหมายฟอกเงิน ยึดทรัพย์ทั้งหมด เพื่อให้หลาบจำ
นายสังศิต กล่าวอีกว่า ตำรวจเป็นข้าราชการพลเรือนที่ได้รับเงินมากกว่าข้าราชการทั่วไปอยู่แล้ว ที่ผ่านมาการกล่าวอ้างว่าตำรวจได้รับเงินน้อย ถ้าได้รับค่าตอบแทนสูงขึ้นก็จะไม่ทุจริตนั้น ไม่จริง เป็นการตั้งข้อสมมติฐานที่ผิด ตั้งแต่มีกฎหมายปฏิรูปตำรวจมาก็ยังมีการทุจริตในวงการตำรวจ ที่ผ่านมารัฐให้ตำรวจปฏิรูปองค์กรตนเอง ไม่มีองค์กรไหนจะเขียนปฏิรูปตนเอง ปฏิรูปแล้วกลับไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน แต่กลายเป็นทั้งตำรวจทั้งที่อยู่ในราชการและที่เกษียณแล้วยังมีประโยชน์เกี่ยวโยงอยู่อย่างหนาแน่น ถ้ารัฐบาลจริงใจจะปฏิรูปตำรวจ ต้องใช้การเมือง ใช้คนที่ไม่ใช่ตำรวจเข้าไปปฏิรูป และตำรวจถือเป็นข้าราชการพลเรือน ไม่ควรต้องไปฝึกอบรมเหมือนทหาร เพราะประชาชนไม่ใช่อริราชศัตรู การปฏิรูปตำรวจจึงต้องให้ประชาชนได้ประโยชน์
ขณะเดียวกัน นายสังศิต ยังกล่าวถึงการก่ออาชญากรรมทางออนไลน์ ว่า ปัจจุบันรุนแรงมากขึ้น และเมื่อตำรวจไปเกี่ยวข้องก็มักพบการเรียกรับประโยชน์อย่างต่อเนื่อง ตำรวจมีหน้าที่ดูแลประชาชน แต่กลับไปเรียกรับ จึงลงโทษเหมือนคดีทั่วไปไม่ได้ ต้องถูกลงโทษด้วยกฎหมายฟอกเงินให้หนักขึ้น นอกจากนี้ ต้องแก้ระบบตรวจสอบตำรวจ อย่างกรณีผู้การฯ ชลบุรี ก็ไม่ใช่จับได้เอง แต่เป็นเพราะผู้ถูกรีดไถทนไม่ไหว จึงร้องมา การตรวจสอบภายในองค์กรตำรวจไม่มีประสิทธิผล ตนเห็นว่าต้องมีองค์กรภายนอกมาตรวจสอบ ซึ่งหากดีเอสไอ และ ปปง. ซึ่งตอนนี้ก็ถูกตำรวจย้ายเข้าไปยึดองค์กร หากทำให้ดีเอสไอ และ ปปง. ไม่มีตำรวจ ก็จะใช้ 2 หน่วยงานนี้ไปตรวจสอบตำรวจทั้งระบบได้ โดยให้ครอบคลุมทุกเรื่องที่ทุจริตในองค์กรตำรวจ รวมถึงเรื่องซื้อตำแหน่งในระดับต่างๆ ด้วย