นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงกรณีพรรคก้าวไกล กับพรรคเพื่อไทย ตกลงเรื่องตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้ ว่า เป็นเรื่องที่ไม่น่ากังวล เนื่องจากเป็นระบอบของพรรคการเมืองในการร่วมรัฐบาลต้องมีการเจรจาต่อรองกัน เหมือนกับการทำธุรกิจ ผู้บริหารจะต้องมีการต่อรองกัน และเมื่อมีพรรคร่วมรัฐบาลก็เสมือนเป็นหุ้นส่วนกัน กรณีนี้คนที่อยากจะนั่งในตำแหน่งที่ถนัดหรือคิดว่าเหมาะสมบังเอิญทั้งสองพรรคใจตรงกัน ดังนั้น เป็นเรื่องที่หุ้นส่วนต้องตกลงกัน การเจรจามีหลายทางเลือก คิดว่าคงไม่ถึงขั้นทำให้ทั้งสองพรรคแตกหักกัน เนื่องจากถ้าแตกกัน ประชาชนคงผิดหวัง เพราะประชาชนส่วนใหญ่ลงคะแนนเสียงให้ทั้งสองพรรครวมกัน 25-24 ล้านเสียง เป็นการมอบความไว้วางใจให้เป็นรัฐบาล เป็นผู้บริหารบ้านเมือง ดังนั้น เรื่องแค่นี้คงจะตกลงกันได้ในท้ายที่สุด
นายเกรียงไกร ยืนยันว่า ส.อ.ท. ไม่กังวล เพราะขณะนี้มองข้ามไปแล้วว่าถึงเวลาที่ทุกฝ่ายจะต้องมาร่วมกันในการฟื้นฟู สร้างประเทศชาติ สร้างความรักและความสามัคคี ที่สำคัญปัญหาต่างๆ จากภายนอกมีอีกมากมายที่พร้อมจะถาโถมเข้ามา จึงควรต้องเตรียมความพร้อม หากยังเกิดความไม่ปรองดอง ไม่รักกัน และสู้กันเอง ประเทศไทยก็จะอ่อนแอ และสู้ข้างนอกไม่ได้
ทั้งนี้ ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายต้องรู้หน้าที่ของตนเอง ต้องทำตามหน้าที่ต่อไป ในส่วนของ ส.อ.ท. จะทำหน้าที่ของภาคอุตสาหกรรมให้ดีที่สุด พยายามทำให้ทุกคนเข้มแข็ง และสู้กับประเทศอื่นได้ ดังนั้น ส.อ.ท. จึงรอรัฐบาลที่พร้อมจากพรรคไหนก็ได้ ส.อ.ท. สามารถเข้าได้กับทุกรัฐบาล เพื่อเป็นกำลังร่วมกันในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป
นายเกรียงไกร ย้ำว่า หากได้รัฐบาลที่แน่นอน เป็นไปตามเวลาที่กำหนด ไม่มีอะไรที่ผิดพลาดไปจากไทม์ไลน์ ซึ่งตนคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศที่กำลังเฝ้ารออยู่ว่าเมื่อไรรัฐบาลและประเทศไทยจะพร้อม ถึงตอนนั้นนักลงทุนก็พร้อมที่จะใส่เม็ดเงินเข้ามาในประเทศ