นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า และอดีตรองนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวถึงข้อเท็จจริงการเชิญเข้าร่วมรัฐบาล ว่า ขณะนี้มีการจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคที่มีคะแนนเสียงมากเป็นอันดับที่หนึ่งก็คือพรรคก้าวไกล โดยพรรคชาติพัฒนากล้า มีว่าที่ ส.ส. 2 คน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ได้มีการประกาศ 8 พรรคในการร่วมรัฐบาล มี 313 เสียง ซึ่งเสียงที่จะต้องใช้ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคือ 375 เสียง จากนั้นพรรคก้าวไกลได้ติดต่อมาที่พรรคชาติพัฒนากล้า เพื่อขอเรียนเชิญเข้าร่วมรัฐบาล เพราะขณะนี้การจัดตั้งรัฐบาลยังได้เสียงไม่เพียงพอ ซึ่งทางพรรคชาติพัฒนากล้าไม่ได้เป็นฝ่ายติดต่อไปก่อน
นายสุวัจน์ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้าอยากเห็นการเมืองมีเสถียรภาพ อยากเห็นการเมืองที่มีรัฐบาลเสียงข้างมาก ไม่ใช่รัฐบาลเสียงข้างน้อย อยากเห็นการยึดถือประเพณีว่าใครที่ได้รับการเลือกตั้งชนะเป็นที่หนึ่ง ก็เป็นผู้ริเริ่มในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งพรรคก้าวไกลอยู่ในองค์ประกอบทุกข้อ ดังนั้นเมื่อมีการมาเรียนเชิญ เราก็ตอบรับคำเชิญในหลักการ ซึ่งการจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะไม่มีการลงนาม MOU แต่ในครั้งนี้ถือเป็นมิติใหม่ที่จะมีการลงนาม MOU ว่ารัฐบาลชุดใหม่จะดำเนินการอย่างไร ทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ที่ทุกคนจะต้องศึกษาว่าเห็นด้วยหรือไม่อย่างไรและให้ข้อคิดเห็น
ดังนั้นเมื่อมีการเชิญเข้าร่วมรัฐบาล พรรคชาติพัฒนากล้าก็ตอบรับในหลักการเพื่อให้การจัดตั้งรัฐบาลนั้นสำเร็จ แต่จะต้องมีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคก่อน เพื่อดูในเงื่อนไขรายละเอียดของ MOU ว่าสอดคล้องกับของพรรคหรือไม่ เช่น เรื่องเศรษฐกิจ ค่าไฟฟ้า ราคาน้ำมัน ปัญหาสังคม เรื่องการกระจายอำนาจ การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในรายละเอียดจะเป็นอย่างไร สอดคล้องกับนโยบายของพรรคหรือไม่ เรื่องความมั่นคง การปฏิรูปกองทัพ มีรายละเอียดอย่างไร และมีผลกระทบอย่างไรในการบริหารประเทศ รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แก้ไขมาตราไหน รวมถึงการนิรโทษกรรม และมาตรา 112 ด้วย ซึ่งทางพรรคเคยพูดในหลายเวทีดีเบตว่าต้องคงมาตรา 112 ไว้
นายสุวัจน์ กล่าวว่า แต่เมื่อล่าสุด พรรคก้าวไกลแถลงว่ายุติการเจรจาในการเข้าร่วมรัฐบาล ก็ได้มีการแจ้งมา ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะเราอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาตอบรับคำเชิญอย่างเป็นทางการ เพราะมีรายละเอียดที่จะต้องไปเซ็นMOU ที่จะเซ็นในช่วงบ่ายของวันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคมนี้ ซึ่งพรรคก็จะต้องมีมติของพรรคเพื่อไปเห็นชอบ ซึ่งเหตุผลในการยุติการเจรจาก็เป็นไปตามเอกสารแถลงของพรรคก้าวไกล
อย่างไรก็ตาม ขอบคุณพรรคก้าวไกลที่ให้เกียรติมาเรียนเชิญพรรคชาติพัฒนากล้าที่มีอยู่ 2 เสียง ในการเข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งเราเองให้การสนับสนุนในแนวทางนี้อยู่แล้ว ยืนยันการการตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลพรรคชาติพัฒนากล้าในครั้งนี้ ไม่ได้มีการต่อรองอะไร แต่เป็นการเพื่อให้การเมืองไปข้างหน้าและให้จัดตั้งรัฐบาลได้ ถือเป็นความรับผิดชอบทางการเมืองเพราะตนพูดเสมอว่า การเมืองต้องหันหน้าเข้าหากันเพื่อลดความขัดแย้ง ต้องพูดคุยกันได้
อย่างไรก็ตาม จากนี้ ขั้นตอนในการประชุมกรรมการบริหารพรรคคงไม่เกิดขึ้นแล้ว เพราะได้ยุติการเจรจา รวมถึงก่อนหน้านี้ ตนได้คุยกับนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ที่กำลังเดินทางไปท่องเที่ยวอยู่ต่างประเทศ โดยตอนแรกก็จะให้รีบเดินทางกลับเพื่อมาเจรจา แต่จากนี้คงไปบอกว่า ไม่ต้องรีบกลับมาแล้ว
ทั้งนี้ ขอบคุณที่ได้หยุดการเจรจา และขอโทษกับชาติพัฒนากล้า ทางพรรคก็ไม่ได้มีปัญหา และยังเป็นมิตรสหาย เป็นพรรคการเมืองที่อยู่ในสภาฯ ด้วยกัน มีอะไรก็ตามที่จะพูดคุยกันได้ตลอดเวลา
ยืนยันไม่ได้มีความรู้สึกอะไรที่ไม่ดี ไม่ได้น้อยใจ ยังเป็นพรรคการเมือง และมีอะไรก็พูดคุยกันในสภาได้ และตนพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในทางการเมือง เพื่อให้เกิดความร่วมมือ ซึ่งอันนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ให้เห็นถึงความร่วมมือ เมื่อเชิญมา ก็ให้ความร่วมมือและเมื่อยุติก็ให้ความร่วมมือ ยืนยันไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ตนเคารพการตัดสินใจของพรรคก้าวไกลและไม่ขอไปก้าวล่วง
นายสุวัจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองและคลี่คลายความขัดแย้งของการเมืองและทำให้บ้านเมืองประสบความสำเร็จ มีรัฐบาลที่ดี แก้ไขปัญหาประเทศได้ พรรคก็ยินดีที่จะสนับสนุน แต่ในแต่ละเรื่องก็ต้องมีการพูดคุยกัน เอาใจช่วยให้ทุกอย่างเรียบร้อย ซึ่งจากผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ค่อนข้างชี้ชัดว่า การเมืองจากนี้ไปต้องเปลี่ยนแปลงอะไรกันบ้าง การเลือกตั้งครั้งนี้ให้ประสบการณ์ใหม่กับทุกพรรคการเมือง วันนี้ถ้าจะชนะการเลือกตั้ง อะไรคือคำตอบ อีกทั้งมองว่าขณะนี้ ทุกพรรคการเมืองเคารพประชาชน ยังไม่เห็นพรรคการเมืองไหนขยับ ไปในทางที่ไม่เคารพประชาชน บรรยากาศทุกพรรคนิ่ง ให้เกียรติพรรคก้าวไกลได้ทำการจัดตั้งรัฐบาล ถือว่าเป็นสุภาพบุรุษกันมากๆ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี