นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากมาตรการส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาล โดยให้สิทธิประโยชน์จูงใจกระตุ้นให้เกิดการลงทุน ความพร้อมด้านวัตถุดิบที่มีอย่างเพียงพอ และมีอุตสาหกรรมสนับสนุนพร้อม ทำให้ต่างชาติมีความเชื่อมั่นศักยภาพของประเทศไทย ในช่วง 4 เดือนของปี 2566 (ม.ค.-เม.ย.) ได้อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย จำนวน 217 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 69 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 148 ราย เม็ดเงินลงทุน 38,702 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จ้างงานคนไทย 2,419 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น 55 ราย สัดส่วนร้อยละ 25 เงินลงทุน 14,024 ล้านบาท สิงคโปร์ 35 ราย สัดส่วนร้อยละ 16 เงินลงทุน 4,854 ล้านบาท สหรัฐฯ 34 ราย สัดส่วนร้อยละ 15 เงินลงทุน 1,725 ล้านบาท จีน 14 ราย สัดส่วนร้อยละ 6 เงินลงทุน 11,230 ล้านบาท สมาพันธรัฐสวิส 11 ราย สัดส่วนร้อยละ 5 เงินลงทุน 1,692 ล้านบาท และ อื่น ๆ 68 ราย สัดส่วนร้อยละ 33 เงินลงทุน 5,177 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจที่ได้รับอนุญาต ในช่วง 4 เดือน ส่วนใหญ่ในพื้นที่ EEC จำนวน 43 ราย คิดเป็นร้อยละ 20 ของจำนวนนักลงทุนทั้งหมด มีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 7,521 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 19 ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น 17 ราย ลงทุน 2,816 ล้านบาท จีน 8 ราย ลงทุน 725 ล้านบาท ฮ่องกง 3 ราย ลงทุน 2,920 ล้านบาท และประเทศอื่น ๆ อีก 15 ราย ลงทุน 1,058 ล้านบาท
นางสาวรัชดา กล่าวว่า แม้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 จะส่งผลกระทบไปทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย แต่นักลงทุนยังมีแผนขยายการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยนักลงทุนมีความเห็นว่าประเทศไทยมีปัจจัยเอื้ออำนวยหลายด้าน ทั้งวัตถุดิบและชิ้นส่วนที่เพียงพอ มีบริการด้านการสื่อสาร ระบบขนส่งและโลจิสติกส์ รวมทั้งสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุน รวมถึงความเชื่อมั่นของภาคเอกชนต่างชาติที่มีต่อประเทศไทย ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ศักยภาพของตลาด มาตรการสนับสนุนกิจการ แรงงานที่มีคุณภาพ