นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองโพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ชัยชนะของก้าวไกล จุดจบของ “อำนาจนิยม” มาถึงจนได้
เมื่อประชาชนโหวตคะแนนถล่มทลายให้ฝั่ง “ประชาธิปไตย”แต่แลนด์สไลด์ผิดพรรค แทนที่จะเป็น “พรรคเพื่อไทย” กลับเป็น “พรรคก้าวไกล”
ปรากฏการณ์ “ด้อมส้ม” แพร่กระจายเบ่งบานไปทุกภาค ทำลายการเมืองเก่าระบบ “บ้านใหญ่” เช่น ชลบุรี สมุทรปราการ และอีกหลายที่ทั่วประเทศ
นับเป็นการเปลี่ยนหน้าการเมืองอย่างสิ้นเชิงทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ไม่ว่า เชียงใหม่ โคราช มีรายการ “ล้มช้าง” เกิดขึ้น
อย่างที่ผมบอก แม้แต่เขต “บางบอน” ที่รถจักรยานของ “ไอซ์ รักชนก” วิ่งชนะรถโรลส์รอยซ์ของ “วัน อยู่บำรุง” ไปไกล
พรรคเพื่อไทยร่วงโรย แม้ไม่แพ้แต่ไม่เรียกว่าชนะ วันเวลาการเมืองเปลี่ยนก้าวข้ามรุ่น อาการคนใจเสียออก ทั้ง 2 ลุง ปั้นหน้าขอบคุณคนลงคะแนนอย่างเสียไม่ได้
ส่วนพรรค “ภูมิใจไทย” คงได้บทเรียนว่า การจะเป็นพรรคใหญ่ได้ต้องมีอุดมการณ์ ไม่ใช่นายอนุทินกับนายเนวินจะปั้นพรรคให้ครองใจด้วย “กระสุน มากกว่า กระแส” จึงเข้าใจโลกการเมืองแบบเก่ากันคนละโลกกับการเมืองคนรุ่นใหม่ การไล่ซื้อ “งูเห่า” เข้าสังกัด ผลคือตกหมดทุกคน
ส่วนกรุงเทพฯ ที่หวังจะมา “ตอกเสาเข็ม” กว้าน ส.ส. เก่าเข้ามาร่วม และตระเวนหาเสียงตามสไตล์เดิมๆ แจกกระสุนทุ่มตามแบบฉบับดั้งเดิม จึงเสียกระสุนยิงลม หาได้รู้ใจคนกรุงเทพฯ เท่าผมว่า “การเมืองที่พรรคภูมิใจไทยทำ ไม่มีทางได้ ส.ส. กรุงเทพฯ แม้แต่คนเดียว”
อีกข้อสังเกตุ ที่ได้ ส.ส. สอบผ่าน ล้วนเป็น ส.ส. เขต ส่วนปาร์ตี้ลิสต์ ได้เพียง 4 คน เพราะคะแนนนิยมพรรคไม่มี
เพราะนายอนุทิน พรรคภูมิใจไทย ยึด “กระสุนมากกว่ากระแส” จึงถูกจำกัดเขตในอิทธิพลของตัวเอง
เหมือนพรรคชาติไทยพัฒนา หรือบรรดาพรรคระดับจังหวัดอย่าง “บุรีรัมย์”
การทำการเมืองแบบใจใหญ่แต่ไม่มีสมอง จึงต้องเสียทั้งหน้า เสียทั้งเงิน
ตอนหาเสียงมั่นใจ แต่พอผลออกมาหน้าเจื่อนผิดคาด ออกอาการเหมือนคนเล่นไพ่เสียยังไงอย่างงั้น
ยิ่งมาเจอการต่อต้านนโยบาย “กัญชาเสรี” จากผม เป็นการปิดเกมคะแนนนิยมพรรคภูมิใจไทย
เพราะผลกระทบร้ายต่อสังคมสูง แล้วยังไม่ยอมรับความจริงว่าเป็น “นโยบายที่ไร้ประโยชน์ ทำร้ายเยาวชน” จนทุกพรรคการเมืองที่ผมตระเวนถามล้วนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่เอา”
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์คงถอยหลังกลายเป็นพรรคเล็ก เพราะหัวหน้าพรรค และบรรดาคนเก่าแก่ไม่ยอมกลับบ้านเสียที
แถมโดนพรรครวมไทยสร้างชาติแตกสาขาออกแย่งคะแนนภาคใต้แบบไม่ไว้หน้า
พรรคพลังประชารัฐไม่ต้องพูดถึง เพราะเป็นพรรคเฉพาะกิจ ถึงเวลาจบไปพร้อมกัน 2 ลุง จูงมือกันกลับบ้าน
พรรคก้าวไกลจะร่วมกับพรรคเพื่อไทยเพื่อจัดตั้งรัฐบาล และก้าวไปสู่ยุคใหม่ ต่อไปคนรุ่นเก่าจะทนแรงต้านของคนรุ่นใหม่ไม่ไหว
ยิ่งนานไปพรรคก้าวไกลจะยิ่งมีคะแนนมากขึ้น เช่นเดียวกับพรรคไทยรักไทยในอดีต
ยกเว้นจะมี “อำนาจพิเศษ” สกัดพรรคก้าวไกล คงต้องเตรียมการจัดตั้งพรรคใหม่ เทียร์ 2 เทียร์ 3 กันต่อไป
ตั้ง “พรรคอนาคตไกล” ไว้รอก่อนได้เลยครับ
ป้องกันไว้ก่อน เพราะเรื่องของอำนาจไม่มีใครยอมยกให้กันง่ายๆ อยู่แล้ว