นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่มีข้อวิพากษ์วิจารณ์ถึงนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ว่า อาจเป็นภาระหนี้สินของประเทศ ว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่จะช่วยขยายความออกไปเรื่อยๆ นโยบายนี้ตนคิดว่าโดน ไม่เช่นนั้นพรรคการเมืองอื่นๆ ก็คงไม่พูดกัน พร้อมยืนยันว่า เรื่องรีดภาษีนั้นไม่มี เรามีการจัดการบริหารที่ชัดเจน ขณะที่วานนี้ (8 เม.ย.) ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ได้เรียกข้อมูลเพิ่มเติมจากพรรค คณะกรรมการบริหารฝ่ายกฎหมาย และฝ่ายเศรษฐกิจ ก็ได้รวบรวมข้อมูล ซึ่งตนเข้าใจว่าได้นำส่ง กกต. แล้ว หากกรณีที่ กกต. ยังสงสัย ก็พร้อมชี้แจง เพื่อที่พี่น้องประชาชนจะได้ไม่ต้องมีข้อกังขาอะไร
ส่วนการใช้งบประมาณ 500,000 ล้านบาท จะเป็นการเพิ่มภาระหนี้สินให้กับประเทศหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ต้องดูสัดส่วนของหนี้ต่อจีดีพีเป็นหลัก ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะพยายามคงไว้ในระดับปัจจุบัน แต่อย่าลืมว่าหนี้ของประเทศโตขึ้นก็จะทำให้จีดีพีโตขึ้นด้วย ส่วนจำนวนเงินที่พรรคเพื่อไทยวางไว้สำหรับนโยบายนี้ ไม่ได้เป็นการเพิ่มหนี้สิน แต่เรื่องนี้จะทำให้เงินเข้าสู่ระบบอีก 500,000 ล้านบาท เงินส่วนนี้จะก่อให้เกิดภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายเดิม ยืนยันว่าไม่มีการขึ้นภาษี และจะทำให้ประชาชน ร้านค้า และภาคอุตสาหกรรมมีการซื้อขายและผลิตสินค้ามากขึ้น ซึ่งจะทำให้อัตราภาษีนิติบุคคลเพิ่มมากขึ้น เราคงภาษีเท่าเดิม แต่จัดเก็บภาษีได้เพิ่มมากขึ้น
ขณะเดียวกัน นายเศรษฐา ยังได้กล่าวถึงกรณีที่นิด้าโพลเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง "คนอุบลราชธานีเลือกพรรคไหน" ซึ่งพรรคเพื่อไทยขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในขณะที่นายเศรษฐา อยู่อันดับ 4 ว่า ไม่ได้เปลี่ยนอะไรไปจากที่ทำงานหรือหาเสียงในช่วงโค้งสุดท้าย เรายังคงมุ่งมั่นเดินสาย พูดคุยกับพี่น้องประชาชนต่อ และต้องขอขอบคุณพี่น้องอุบลฯ อย่างไรก็ตาม วันที่ 14 พฤษภาคมนี้ จะเป็นวันที่ชี้ขาด