ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยแพร่รายงานระบุว่า ไทยจะก้าวเป็นสังคมสูงอายุขั้นสุดยอด หรือ Super-Aged Society ในปี 2572 เร็วขึ้นกว่าเดิม หลังประชากรไทยเริ่มลดจำนวนลงมาแล้ว 3 ปีติดต่อกัน ตั้งแต่ปี 2563-2565 จากอัตราการเกิดและภาวะเจริญพันธุ์มีแนวโน้มลดต่ำลงต่อเนื่อง รวมถึงประชากรรุ่น Baby Boomer (เกิดช่วงปี 2506-2526) ราว 1 ล้านคน กำลังจะเข้าสู่ช่วงอายุ 60 ปี เป็นจำนวนมากในปี 2566 นี้
ขณะที่การปรับโครงสร้างเพื่อเพิ่มจำนวนประชากรเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย ท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่ไม่แน่นอนสูงจากความไม่มั่นคงทางด้านรายได้ และความกังวลต่อเหตุการณ์แวดล้อม ทั้งการเกิดวิกฤตโรคระบาดใหม่ ภัยธรรมชาติ วิกฤตความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลก ทำให้เกิดค่านิยมที่คนรุ่นใหม่ไม่ต้องการมีบุตร ซึ่งโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป อาจเป็นได้ทั้งโอกาสและความท้าทายที่ภาคธุรกิจต้องเตรียมความพร้อมรับมือ เนื่องจากรายได้ธุรกิจอาจถูกกระทบหากลูกค้ายังคงใช้จ่ายไม่ต่างจากเดิม แต่ฐานลูกค้ามีจำนวนที่ลดลงเรื่อยๆ ส่งผลให้หากธุรกิจต้องการรักษายอดขายให้ได้เท่าเดิม ก็จำเป็นต้องกระตุ้นให้ลูกค้าหนึ่งคนใช้จ่ายมากขึ้นมากเมื่อเทียบในอดีตที่ยังอาศัยการเพิ่มจำนวนลูกค้าได้
ขณะที่รูปแบบของผลิตภัณฑ์และบริการที่เสนอต่อลูกค้าต้องมีการปรับเปลี่ยน จากฐานประชากรสูงอายุที่มีมากขึ้น ดังนั้น หากผู้ประกอบการธุรกิจต้องการรักษาการเติบโตของยอดขาย อาจต้องเน้นพัฒนาสินค้าและบริการที่แตกต่างเพื่อตอบโจทย์ผู้สูงวัยในราคาที่เอื้อมถึงได้ รวมถึงการขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดต่างประเทศที่นิยมสินค้าไทยหรือตลาดระดับภูมิภาค
นอกจากนี้ ต้นทุนธุรกิจมีแนวโน้มสูงขึ้นตามภาวะการขาดแคลนกำลังแรงงาน ส่งผลให้ธุรกิจอาจต้องเน้นเรื่องการพัฒนาทักษะแรงงานและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภาคธุรกิจต่างๆ คงต้องเร่งปรับตัวและเตรียมการรองรับประเด็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของไทย ซึ่งจะเกิดขึ้นควบคู่ไปกับโจทย์อีกหลายด้านพร้อมๆ กัน ทั้งเรื่องความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และประเด็นความยั่งยืน ที่เป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น นอกจากนี้ ประเด็นนี้คงเป็นโจทย์สำคัญที่รอการจัดการของรัฐบาลชุดใหม่เช่นกัน เนื่องจากจะมีผลต่อทิศทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมถึงแผนงานด้านสวัสดิการต่างๆ ในช่วงข้างหน้า