นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคระรัฐมนตรีวันที่ 21 มีนาคม 2566 รับทราบผลการเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates : UAE) ของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ 6-8 กุมภาพันธ์ 2566 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
การเดินทางครั้งนี้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้หารือกับรัฐมนตรีแห่งรัฐประจำกระทรวงเศรษฐกิจสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ด้านการค้าต่างประเทศในประเด็นต่าง ๆ อาทิ
1. ไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เห็นพ้องที่จะจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Comprehensive Economic Partnership Agreement: CEPA) ระหว่างกัน โดยไทยจะผลักดันให้การเจรจาแล้วเสร็จภายใน 6 เดือน ทั้งนี้ ปัจจุบัน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีความตกลงลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ได้ข้อสรุปแล้ว 3 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย อิสราเอล อินโดนีเซีย และอยู่ระหว่างเจรจากับหลายประเทศ อาทิ ตุรกี กัมพูชา และเกาหลีใต้
2. ส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกัน อาทิ การจัดตั้งกลไกสภาธุรกิจไทย-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อสนับสนุนการค้า การลงทุน และการดำเนินธุรกิจ โดยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์สนใจที่จะลงทุนในไทยด้านอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน ดิจิทัล และความมั่นคงทางอาหาร
3. ไทยขอให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์สนับสนุนจังหวัดภูเก็ตเป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialised Expo 2028 หรืองานเอ็กซ์โปวาระพิเศษ ซึ่งเป็นงานมหกรรมระดับโลกภายใต้ลิขสิทธิ์ขององค์การนิทรรศการนานาชาติ เพื่อการส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านต่างๆ ของประเทศเจ้าภาพ ทั้งนี้ องค์การนิทรรศการนานาชาติจะมีการเลือกประเทศเจ้าภาพจัดงานในเดือนมิถุนายน 2566
นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยังได้เป็นสักขีพยานในการลงนามสัญญาซื้อขายสินค้าและบันทึกความเข้าใจระหว่างภาคเอกชนไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ดังนี้
1. การลงนามสัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างบริษัทไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จ้านวน 5 คู่ ใน 4 กลุ่มสินค้าได้แก่ อาหาร สุขภัณฑ์และกระเบื้องเซรามิค ชิ้นส่วนยานยนต์ และผลิตภัณฑ์เมลามีน มูลค่ารวม 1,330 ล้านบาท 2. การลงนามจัดตั้งกลไกสภาธุรกิจไทย-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งคาดว่าจะขับเคลื่อนให้เกิดมูลค่าการค้าระหว่างไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 30,000 ล้านบาท และ 3. การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่าง DP World บริษัทด้านโลจิสติกส์ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กับภาคเอกชนไทยเกี่ยวกับความร่วมมือด้านโลจิสติกส์ภายใต้โครงการ World Logistics Passport ซึ่งเอกชนจะได้รับสิทธิประโยชน์ เช่น ลดต้นทุนโลจิสติกส์ ประหยัดเวลาขนส่งสินค้าจากการลดขั้นตอนพิธีการศุลกากร และใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการขนส่งระหว่างประเทศของ DP World ได้
นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า การเดินทางเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในครั้งนี้ จะก่อให้เกิดมูลค่าการค้าระหว่างไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จำนวน 31,330 ล้านบาท ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์กำลังดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (CEPA) ระหว่างไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่ง ครม.มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 โดยให้ไทยเข้าร่วมเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Comprehensive Economic Partnership Agreement: CEPA) กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) คาดว่าจะศึกษาแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566