นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "จับแพะชนแกะ" โดยอธิบายความมั่วของพรรคการเมือง และพฤติกรรมนักการเมืองในสถานการณ์เลือกตั้ง โดยเฉพาะตัวเลข 310 เสียงตามความต้องการของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเริ่มแสดงความมั่ว และจะลากดึงให้เกิดการชิงดีชิงเด่นแบบมั่วๆ ในช่วงรู้ผลการเลือกตั้งแล้ว
นายจตุพร กล่าวว่า ทิศทางการเมืองขณะนี้ยังอยู่กับการประโคมโหมปั่นตัวเลขมั่วๆ ที่เป็นเป้าหมายเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยที่ต้องการ 310 เสียง โดยอธิบายที่มาไม่ได้ ซึ่งตนเคยประเมินความเป็นได้ของตัวเลขนี้มาแล้ว อย่างเก่งต้องชนะเลือกตั้ง ส.ส.เขตในพื้นที่อีสาน เหนือ และ กทม. รวมสูงสุด 270 เขต และบวกกับระบบบัญชีรายชื่ออีกประมาณ 40 คนเท่านั้น แต่หนทางแทบไม่มีความเป็นไปได้เลยบนฐานความอยากได้แบบมั่วๆ เช่นนี้
ไม่เพียงเท่านั้น ยังเห็นตัวเลขมั่ว 310 เสียงในสถานการณ์หลังเลือกตั้งว่า ถ้าคิดแบบง่ายโดยเชื้อพรรคเพื่อไทยทำได้ตามความต้องการ 310 เสียงแล้ว แม้การประกาศไม่แบ่งใคร ไม่มีพรรคพี่พรรคน้อง แต่ตัวเลขแบบมั่วนี้แสดงทางการเมืองว่า พรรคฝ่ายเดียวกันอย่างพรรคก้าวไกล ไทยสร้างไทย เสรีรวมไทย และประขาชาติ แทบไม่รับเลือกตั้งเลย สะท้อนว่า เพื่อไทยกวาดเสียงเรียบหมด พรรคฝ่ายเดียวกันถูกทำลายจนแพ้ราบคาบไปด้วย
อีกทั้ง เห็นว่า ความมั่วยังแสดงผลออกมาในการโหวตเลือกนายกฯ ซึ่งตัวเลขมั่ว 310 เสียงไม่เพียงพอต่อการชนะโหวตนายกฯ ที่ต้องใช้ 376 เสียงของจำนวน ส.ส.รัฐสภารวมกัน ( ส.ว. 250 บวก ส.ส. 500 เป็นทั้งหมด 750) ดังนั้น เพื่อไทยจะไปเอาเสียงอย่างน้อยจากไหนมาเติมอีก 66 เสียงจึงจะดันส่งให้แคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทยได้เป็นนายกฯ ตัวจริง เพื่อนำไปสู่การตั้งรัฐบาล
นายจตุพร กล่าวว่า นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แสดงความเห็นแก่ตัวชนิดโคตรเอาแต่ได้อย่างเดียวกับความสัมพันธ์แนวร่วมมาหนุนเพื่อไทย โดยให้ฝ่ายประชาธิปไตยโหวตเลือกนายกฯ เพื่อไทยก่อน เมื่อได้นายกฯ แล้วจะร่วมรัฐบาลผสมกันต้องเจรจากันใหม่ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย เพราะจะเอาแนวร่วมอีกจำนวน 66 เสียงจากพรรคฝ่ายประชาธิปไตยไม่ได้อยู่แล้ว เพราะไม่มี แพ้หมดตามแนวทางโคตรอำมหิตของเพื่อไทยไม่มีพี่ ไม่มีน้อง ไม่แบ่งใคร เพราะต้องการกินรวบแล้วจะหาแนวร่วมมาหนุนช่วยได้อย่างไรกัน
"เมื่อเลือกตั้งเสร็จ สมมุติเพื่อไทยได้ 310 เสียง (ส.ส.เขต 270 บวก บัญชีรายชื่อ 40) ตามเลือกตั้งเชิงยุทธ์ศาสตร์เห็นแก่ตัว แล้วจะเอาเสียงแนวร่วมมาหนุนเลือกนายกฯ ให้ได้ 376 เสียงเพื่อชนะแคนดิเดตอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ จึงเป็นคำพูดที่สะท้อนความโคตรเห็นแก่ตัวออกมา แสดงถึงนัยยะทางการเมืองที่ซ่อนความอำมหิตที่เป็นไปไม่ได้"
นายจตุพร ประชดว่า หากคิดแบบเชื่อเพื่อไทยอีกสักครั้งว่าสามารถดำรงความอำมหิตจนได้ 310 เสียงจริงแล้ว แนวร่วมที่เพื่อไทยต้องดึงมาหนุนโหวตเลือกนายกฯ ให้ได้ 376 เสียงก็ต้องมาจากฝ่ายตรงข้าม เป็นพวกกลุ่มยึดอำนาจ 3 ป. ผสมกับพรรคภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์ แล้วมีเป้าหมายไปทำแนวร่วมกับพรรคไหน เมื่อปฎิเสธมาตลอดแล้วจะไม่จับมือกับ พล.อ.ประวิตร และพลังประชารัฐ สิ่งนี้จึงเป็นความมั่วทางการเมืองที่จะตามมาจากการปั่นตัวเลขมั่ว 310 เสียง จนไม่เหลือทางเลือกอื่นใดให้เดิน นอกจากลงท้ายเพียงได้ร่วมรัฐบาลผสมเท่านั้น
รวมทั้ง เห็นว่า ในท่ามกลางความมั่วของพรรคการเมืองไทยนั้น จนต้องชูภาพการนั่งกินข้าวระหว่าง พล.อ.ประวิตร กับพรรคภูมิใจไทย ภาพที่ถูกนำออกมาโชว์แสดงถึงความซ่อมปมไว้อย่างน่าเคลือบแคลงอย่างยิ่ง เมื่อนายศักดิสยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ถูกกล่าวหาสร้างนอมินีมาทับซ้อนผลประโยชน์การประมูลงานรัฐ แล้วยังถือครองที่ดิน สปก. ในจังหวัดบุรีรัมย์กว่า 6 พันไร่
เมื่อเป็นเช่นนี้ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทยจะรอดจากปมถือครองที่ดิน สปก. ด้วยหรือไม่? เนื่องจากคดีนี้มีคำตัดสินของศาลเป็นมาตรฐานจัดการ 2 นักการเมือง คือกนกวรรณ วิลาวัลย์ "โอ๊ะ" ภูมิใจไทย และปารีณา ไกรคุปต์ พลังประชารัฐ มาแล้ว ดังนั้น อำนาจ 3 ป. ไม่มีทางให้เพื่อไทยได้เดินหาเสียงอย่างสะดวกง่ายดาย แบบไม่มีอุปสรรคขวากหนามการยุบพรรคมาสกัดกั้นแน่นอน
นายจตุพร กล่าวถึงกรณีการยุบพรรคว่า เป็นเป้าหมายการจัดการเพื่อต้องการเปลี่ยนผลลัพธ์ทางการเมือง ดังนั้น การเข้าบ้านป่ารอยต่อของพรรคภูมิใจไทย และถัดอีกวันเป็นคิวของนายสมศักดิ์ เทพสุทินกับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จึงมีภาพสะท้อนออกมาแตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม ภาพ พล.อ.ประวิตร หน้าบึ้งตึง เมื่อนั่งร่วมโต๊อาหารกับนายสมศักดิ์และนายสุริยะ เข้าไปอำลาจากไปอยู่เพื่อไทย ส่วนภาพนายอนุทินกับนายศักดิ์สยาม กลับหัวเราะเบิกบาน ฉายแววความสุข ออกมาทางใบหน้าอย่างเด่นชัด โดยการเมืองแบบภาพถ่ายย่อมแสดงถึงปมในใจทางการเมืองได้เช่นกัน
"ประวัติการยุบพรรคและ ส.ส.แตกกระจายไปสังกัดพรรคอื่น ตัวอย่างที่ให้คิดคือ ในสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตั้งรัฐบาลหลังยุบพรรคพลังประชาชน มีแนวโน้มวนกลับมาอีก ดังนั้น ถ้าเกิดยุบพรรค การเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้น ถามว่านายสมศักดิ์ กับนายสุริยะ จะไม่รู้เลยหรือ แล้วใกล้ยุบพรรคจะไปหาใคร ก็ต้องไปเข้าป้อมปราบศัตรูพ่าย ไปพบชายที่อบอุ่น ผู้โชว์แต่มิตรเท่านั้น ขณะที่ตัวเลข 310 เสียงเป็นความมั่วมากที่สุดของเพื่อไทยจะแตกฉานซ่านเซ็นกันไป"
อีกทั้ง กล่าวว่า ในทางการเมืองแบบมั่วนี้ ไม่ใช่หนทางแก้ไขปัญหาชาติ สิ่งที่เห็นเป็นการเล่นเกมทางการเมืองทั้งนั้น เป็นภาพเชิงหลอกกันไปหมด อีกทั้งการเล่นเกมแบบยัดคดีเป็นขวากหนามได้ ดังนั้น ทางการเมืองจึงเป็นการแสดงเพื่อไปสู่ความเหนือชั้นในตอนปลายของผลลัพธ์ ซึ่งจะต้องเริ่มต้นด้วยการยุบสภาน่าจะเป็น 20 มี.ค.นี้ก่อน
นายจตุพร ย้ำว่า นักการเมืองที่โหวตเลือก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ มา 4 ปีนั้น ย้ายมาอยู่เพื่อไทยมากที่สุด แล้วเพื่อไทยก็ย้ายไปอยู่กับพรรค พล.อ.ประยุทธ์ ก็มากเช่นกัน จึงเป็นลักษณะการเมืองแบบมั่ว จะแบ่งข้างประโคมโหมฝ่ายเลือกข้างไม่ได้เลย นอกจากการเมืองแบบมั่ว ซึ่งหาแก่นไม่ได้ในที่สุดเท่านั้น
สิ่งสำคัญ การเมืองแบบมั่วนั้น ถูกนำเสนอจากพรรคการเมืองขณะนี้ เป็นไปเพื่อให้ได้คะแนนเสียง และเอาประโยชน์อำนาจเฉพาะหน้าเท่านั้น โดยปราศจากการวางพิมพ์เขียวทิศทางประเทศ ดังนั้น สมบัติชาติจึงไปตกอยู่ในมือกลุ่มทุนเอกชนเกือบหมด ล่าสุดวงจรดาวเทียม 6 วง ซึ่งเป็นรายได้มหาศาลของประเทศ แต่เอามาประมูลขายในราคาถูกแสนถูกเพียง 600 ล้านบาท แต่เมื่อถ้าไปตกอยู่กับทุนต่างชาติแล้ว โอกาสนำกลับมาเป็นของไทยยิ่งยากเหลือเกิน
นอกจากนี้ กรณีไฟฟ้า น้ำมัน แก๊ส ก็เช่นกัน คงไม่มีวันหลุดจากกลุ่มทุนเหล่านี้ให้กลับมาเป้นสมบัติชาติ แล้วการไฟฟ้าฝ่ายผลิตจะมีแค่ชื่อเป็นรัฐวิสาหกิจเพื่อรับหนี้ ส่วนกำไรเข้ากระเป๋ากลุ่มทุน นายทุนจึงอหังการมาก แล้วยังคุมกระดานประเทศไทยเบ็ดเสร็จ โดยสนับสนุนพรรคการเมืองที่ชนะ ดังนั้น จึงเป็นสิ่งน่ากังวลในอนาคต เพราะการจัดโครงสร้างทางอำนาจระหว่างทุนกับนักการเมืองเป็นแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว
นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าไทยยังได้ผู้ปกครองเป็นแบบวนรอบแสวงหาอำนาจ แล้วสร้างให้กลุ่มนี้เป็นประชาธิปไตย อีกฝ่ายเป็นเผด็จการ เสรีนิยม อนุรักษ์นิยม ทั้งที่เป็นกลุ่มคนเดิมย้ายข้างกันไปอยู่จนมั่วผสมปนเปกันหมดแล้ว พฤติกรรมการเมืองแบบนี้ แสดงถึงโอกาสนำพลังงาน ไฟฟ้า และทรัพยากรอื่นๆ กลับคืนจากนายทุนจึงแทบไม่มีความเป็นไปได้ จึงเหลือแต่พลังประชาชนต้องลุกขึ้นมาจัดการเท่านั้น
ประเทศไทยต้องมาก่อน