เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 4 กองปราบปรามการกะทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (กก.4 บก.ปคบ.), สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ร่วมกันจับกุม นายพัสกร (สงวนนามสกุล) อายุ 36 ปี ในความผิดฐานประกอบวิชาชีพเวชกรรม โดยไม่ได้รับอนุญาต ประกอบกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต ดำเนินกิจการสถานพยาบาลโดยไม่ได้รับอนุญาต ขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต ขายยาที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนตำรับยา และขายเครื่องมือแพทย์โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามที่กองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคได้รับแจ้งเบาะแสจากประชาชนว่า มีคลินิกเสริมความงามเปิดให้บริการรับฉีดวิตามินผิว, ฟิลเลอร์, โบท็อก และร้อยไหม โดยแพทย์ซึ่งไม่มีใบประกอบวิชาชีพ ในซอยอนามัย ถนนศรีนครินทร์ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร จึงสืบสวนขยายผลจนทราบข้อมูลว่า สถานพยาบาล ชื่อ วีบีจีคลินิก มี นายพัสกร แสดงตนเป็นนายแพทย์ให้บริการฉีดรักษา เสริมความงามแก่ประชาชนทั่วไปจริง ซึ่งไม่มีความรู้ ความชำนาญ อย่างแพทย์ผู้มีวิชาชีพ ทำให้ประชาชนหลงเชื่อและเข้ารับบริการ โดยไม่ได้ตรวจสอบว่าแพทย์ที่ทำการรักษา เป็นแพทย์จริงหรือไม่ เสี่ยงต่อสุขภาพ และอาจถึงแก่ชีวิตได้
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ตรวจสอบใบประกอบกิจการสถานพยาบาล และใบประกอบกิจการดำเนินสถานพยาบาล สถานพยาบาล พบว่า ได้รับอนุญาตถูกต้อง แต่มีการรักษาพยาบาลนอกเวลาที่ได้รับอนุญาต และไม่มีแพทย์ที่มีใบประกอบโรคศิลป์ให้การรักษา
ขณะที่ นายพัสกร ยอมรับว่า ไม่ใช่แพทย์ ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการแพทย์ โดยเรียนจบระดับชั้นปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ จากนั้นได้เข้าทำงานในคลินิกเสริมความงามในตำแหน่งผู้ช่วยพยาบาล เนื่องจากมีความสนใจในด้านศัลยกรรมเสริมความงาม และเห็นช่องทางว่ามีรายได้ดี จึงเริ่มรับงานโดยแอบอ้างตัวเป็นแพทย์เฉพาะทาง รับฉีดวิตามินผิว, ฟิลเลอร์, โบท็อก ร้อยไหม นอกสถานที่ในลักษณะหมอกระเป๋า และรับงานรักษาในคลินิก กรณีคลินิกนัดลูกค้าให้ โดยทำมาแล้วประมาณ 5 ปี มีรายได้เดือนละ 30,000-40,000 บาท
จากข้อมูลการสืบสวน นายพัสกรฯ ได้ให้บริการเสริมความงามที่คลินิคมีลูกค้ามากกว่า 120 ราย และให้บริการรับฉีดฟิลเลอร์บริเวณหน้าผากด้วย ซึ่งแพทย์โดยทั่วไปไม่รับฉีดให้ เนื่องจากเป็นจุดที่มีความอันตรายสูง เพราะมีเส้นเลือดเชื่อมต่อไปยังจอประสาทตา และสมอง หากแพทย์ที่ทำการฉีดไม่มีความชำนาญมากพอ อาจทำให้อาจเกิดผลกระทบโดยตรงถึงขั้นตาบอดได้
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ตรวจสอบใบประกอบกิจการสถานพยาบาล และใบประกอบกิจการดำเนินสถานพยาบาล สถานพยาบาล พบว่า ได้รับอนุญาตถูกต้อง แต่มีการรักษาพยาบาลนอกเวลาที่ได้รับอนุญาต และไม่มีแพทย์ที่มีใบประกอบโรคศิลป์ให้การรักษา
ขณะที่ นายพัสกร ยอมรับว่า ไม่ใช่แพทย์ ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการแพทย์ โดยเรียนจบระดับชั้นปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ จากนั้นได้เข้าทำงานในคลินิกเสริมความงามในตำแหน่งผู้ช่วยพยาบาล เนื่องจากมีความสนใจในด้านศัลยกรรมเสริมความงาม และเห็นช่องทางว่ามีรายได้ดี จึงเริ่มรับงานโดยแอบอ้างตัวเป็นแพทย์เฉพาะทาง รับฉีดวิตามินผิว, ฟิลเลอร์, โบท็อก ร้อยไหม นอกสถานที่ในลักษณะหมอกระเป๋า และรับงานรักษาในคลินิก กรณีคลินิกนัดลูกค้าให้ โดยทำมาแล้วประมาณ 5 ปี มีรายได้เดือนละ 30,000-40,000 บาท
จากข้อมูลการสืบสวน นายพัสกรฯ ได้ให้บริการเสริมความงามที่คลินิคมีลูกค้ามากกว่า 120 ราย และให้บริการรับฉีดฟิลเลอร์บริเวณหน้าผากด้วย ซึ่งแพทย์โดยทั่วไปไม่รับฉีดให้ เนื่องจากเป็นจุดที่มีความอันตรายสูง เพราะมีเส้นเลือดเชื่อมต่อไปยังจอประสาทตา และสมอง หากแพทย์ที่ทำการฉีดไม่มีความชำนาญมากพอ อาจทำให้อาจเกิดผลกระทบโดยตรงถึงขั้นตาบอดได้