ร้อยตำรวจโท เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ขณะนี้ทิศทางการส่งออกข้าวไทยเริ่มกลับมาเป็นปกติจากช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 แล้ว จากปี 2563 ไทยส่งออกข้าวได้เพียง 5.7 ล้านตัน ปี 2564 ที่ 6.2 ล้านตัน และเริ่มกลับมาสู่ภาวะปกติ ในปี 2565 ที่ผ่านมาไทย ส่งออกข้าวได้กว่า 7.6 ล้านตัน มูลค่ากว่า 3,900 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 2 ของโลก รองจากอินเดีย ที่ส่งออกได้กว่า 22 ล้านตัน อันดับ 3 เวียดนาม กว่า 7.1 ล้านตัน และในปีนี้ผลผลิตข้าวน่าจะดี เนื่องจากปริมาณทั้งน้ำฝนและน้ำในเขื่อนมีมาก จึงได้ตั้งเป้าการส่งออกข้าวไทยที่ 7.5 ล้านตัน
ส่วนนโยบายที่รัฐบาลใหม่ควรผลักดัน คือการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ข้าวใหม่ๆ ที่ตลาดต้องการ เพราะที่ผ่านมา ไทยยังขายข้าวชนิดเดิมมากว่า 30 ปีแล้ว เพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน เพราะแต่ละปีไทยผลิตข้าวได้ถึงปีละ 20 ล้านตันข้าวสาร ใช้ในประเทศไม่เกิน 12 ล้านตัน ทำให้ปริมาณข้าวในประเทศแต่ละปีจะเหลือถึง 8 ล้านตัน ที่จะต้องส่งออก หากไม่สามารถระบายได้ ก็จะกลายเป็นสต๊อกเหลือค้าง ยิ่งทำให้ข้าวราคาตก แต่ถือว่ารัฐบาลปัจจุบันก็มีนโยบายในระยะยาวเข้ามาดำเนินการ
ทั้งนี้ นโยบายประชานิยมที่แต่ละรัฐบาลเลือกมาใช้ ทั้งจำนำข้าว ประกันรายได้เกษตรกร จะต้องใช้งบประมาณมาช่วยชาวนาเพิ่มขึ้นทุกปี โดยปัจจุบันใช้อยู่ประมาณปีละ 1 แสนล้านบาท ซึ่งหากรวมในช่วง 10 ปีจะสูงถึง 1 ล้านล้านบาท ที่หากนำมาใช้ในการพัฒนาพันธุ์ข้าว พัฒนาโรงงานผลิตปุ๋ย ระบบน้ำชลประทาน จะส่งผลดีต่อการส่งออกข้าวของไทยและประชาชนโดยเฉพาะชาวนา จะได้รับประโยชน์มากกว่าที่เป็นอยู่ ที่สำคัญที่สุดคือนโยบายจะต้องไม่บิดเบือนตลาด ขณะเดียวกัน จะต้องดูแลค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวน เพราะการปรับขึ้นลง มีผลต่อการค้าขาย ซึ่งรัฐบาล และธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องเข้ามาดูแล โดยไม่จำเป็นจะต้องอ่อนค่า หรือ แข็งค่า แต่ไม่ควรที่จะผันผวนเร็วเกินไป
ขณะที่นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยกล่าวว่า นโยบายที่ดำเนินการแล้วบิดเบือนกลไกตลาด จะเกิดปัญหาต่อภาคการส่งออกข้าวแน่นอน ส่วนการช่วยเหลือชาวนารูปแบบอื่น มองว่ายังสามารถดำเนินการได้ หรือแม้แต่การจ่ายเงินชดเชยรายได้ให้เกษตรกร ก็ยังพอรับได้ เพราะราคาซื้อขายข้าว ยังเป็นไปตามกลไกตลาด แต่การรับจำนำข้าว ถือว่าบิดเบือนตลาดชัดเจน เห็นได้ชัดเจนในช่วงปีที่มีการเปิดรับจำนำข้าวการส่งออกข้าวไทยลดลงทันที จาก 10 ล้านต้น เหลือเพียง 5 ล้านตันเป็นต้น