นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามสื่อมวลชนในประเด็นการนิรโทษกรรม ระบุทุกคนที่ทำผิดกฎหมาย ต้องยอมรับกระบวนการยุติธรรม ถ้านิรโทษกรรมให้คนบางกลุ่ม แสดงว่าต้องนิรโทษกรรมให้คนทั้งคุกเลยหรือไม่
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ต้องถือเป็นความกล้าหาญของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่สอนคนอื่นให้เคารพกฎหมาย ทั้งที่ตัวเองเป็นอดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ กระทำความผิดที่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง แต่ยังลอยหน้าลอยตาเป็นนายกฯ มาได้จนถึงปัจจุบัน เพราะเขียนนิรโทษกรรมตัวเองและพวกลงในรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 279
แม้ประชาชนนับแสนคนเคยเข้าชื่อขอแก้รัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าว เพื่อเปิดทางให้มีการดำเนินคดีกับคณะรัฐประหาร แต่ก็ถูก ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้งของ พล.อ.ประยุทธ์ปัดตก จึงไม่รู้ว่าตอนที่พูดประโยคเหล่านั้นออกมา พล.อ.ประยุทธ์ ได้ฉุกคิดถึงสิ่งที่ตัวเองเคยทำมาก่อนบ้างหรือไม่
นอกจากนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับความปรองดอง พรรคก้าวไกลยืนยันว่าความปรองดองในสังคมไทยจะเกิดขึ้นได้ ต้องมีอย่างน้อย 3 ขั้นตอน
1.คือการคืนสิทธิประกันตัวแก่ผู้ต้องหาคดีการเมืองที่ยังไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิด
2.คือการนิรโทษกรรมคนเห็นต่างทางการเมือง และในทุกเหตุการณ์ความสูญเสีย ต้องเริ่มจากการค้นหาความจริงและตามหาผู้รับผิดชอบ
3.คือการแก้ไขกฎหมายที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ความปรองดองจึงไม่ใช่แค่การ ‘สร้างความรักความสามัคคี’ แบบปลอมๆ อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอ้าง และการนิรโทษกรรมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความปรองดอง เพียงแต่ต้องเป็นการนิรโทษกรรมประชาชน ไม่ใช่นิรโทษกรรมผู้มีอำนาจ หรือนิรโทษกรรมให้คนที่ใช้ความรุนแรงกับประชาชน กลายเป็นลอยนวลพ้นผิด
“ถ้ายึดตาม พล.อ.ประยุทธ์ ว่าทุกคนที่ทำผิดกฎหมาย ต้องยอมรับกระบวนการยุติธรรม ผมคงต้องถามกลับไปที่ พล.อ. ประยุทธ์ ว่าการรัฐประหารนั้นผิดกฎหมายหรือไม่ หากไม่ผิด ทำไม คสช. ต้องนิรโทษกรรมตัวเอง
แต่ถ้าผิด พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะคนที่อ้างนักหนาว่าเคารพกฎหมาย พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหรือไม่”