นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2566 อนุมัติร่างกฎหมายขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคด้านสาธารณสุข โดยออกเป็นร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ...) พ.ศ. … ตามที่กระทรวงการคลังเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้
สาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลายกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่หน่วยรับบริจาคด้านสาธารณสุข รวม 13 แห่ง (จากหน่วยรับบริจาคเดิม 10 แห่ง) เป็นระยะเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากร มีรายละเอียด ดังนี้
1. หน่วยรับบริจาคทั้ง 13 แห่ง ประกอบด้วย หน่วยรับบริจาคเดิม 10 แห่ง สภากาชาดไทย มูลนิธิภัทรมหาราชานุสรณ์ฯ ศิริราชมูลนิธิ มูลนิธิจุฬาภรณ์ มูลนิธิโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ มูลนิธิโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนฯ มูลนิธิโรคมะเร็งโรงพยาบาลศิริราช มูลนิธิโรงพยาบาลราชวิถี มูลนิธิสมเด็จพระปิ่นเกล้า และ มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ และเพิ่มเติมหน่วยรับบริจาคใหม่ 3 แห่ง ได้แก่ มูลนิธิโรงพยาบาลสวนดอก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มูลนิธิสนับสนุนสถาบันประสาทวิทยา และ มูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก
2. การยกเวินภาษีเงินได้ แบ่งเป็น 1) บุคคลธรรมดา ให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนเป็นจำนวน 2 เท่าของจำนวนเงินที่บริจาค 2) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลให้ยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้เป็นจำนวน 2 เท่า ของรายจ่ายที่บริจาคไม่ว่าจะได้จ่ายเป็นเงินหรือทรัพย์สิน
3. บุคคลธรรมดาหรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการโอนทรัพย์สิน หรือการขายสินค้า หรือสำหรับการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการบริจาคให้แก่หน่วยรับบริจาคทั้ง 13 แห่ง
นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการทางภาษีนี้จะทำให้ภาครัฐจัดเก็บภาษีลดลงประมาณปีละ 370 ล้านบาท แต่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเปิดโอกาสให้ประประชาชนและภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบบริการด้านสาธารณสุขของประเทศ