ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์เฟซบุ๊ก "Center for Medical Genomics" ระบุว่า ข่าวดี วัคซีนเข็มกระตุ้นสองสายพันธุ์(ไบวาเลนต์-บูสเตอร์) สามารถช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยรุนแรงจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลรวมทั้งลดอัตราการเสียชีวิตในผู้ที่ติดเชื้อโอไมครอนสายพันธุ์ดั้งเดิมและสายพันธุ์ย่อยอุบัติใหม่ได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นสองสายพันธุ์
การศึกษาชิ้นนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มงานวิจัยแรกที่ทำการประเมินประสิทธิผลของวัคซีนเข็มกระตุ้นสองสายพันธุ์จากอาสาสมัครสูงวัย (≥65 ปี) ในประเทศอิสราเอลจำนวนกว่า “6 แสนคน” ที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นรุ่นที่สอง(second generation) ประเภทสองสายพันธุ์เพียง "เข็มเดียว" พบว่าสามารถป้องกันการติดเชื้อรุนแรงจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลได้ถึง 81% และลดอัตราการเสียชีวิตลงได้ถึง 86% (โดยติดตามหลังการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นไป 70 วัน)
ผลงายวิจัยชิ้นนี้เตรียมพิมพ์ในวารสาร Lancet ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ทันทีผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตแต่ยังรอการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญสาขานี้
การศึกษาย้อนหลังครั้งนี้ได้นำข้อมูลจากศูนย์บริการสุขภาพทั่วไป (Clalit Health Service) ของประเทศอิสราเอลที่มีโรงพยาบาลใหญ่ในสังกัด 8 แห่งในช่วง ก.ย.- ธ.ค. 2565
อาสาสมัครที่เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 622,701 คน โดยมีผู้ที่คุณสมบัติตรงตามเกณฑ์จำนวน 85,314 คนหรือ 14% ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นสองสายพันธุ์ (ซึ่งมีส่วนผสมของไวรัสดั้งเดิม อู่ฮั่น และ โอมิครอน BA.4 และ BA.5) จำนวน 1 เข็มและติดตามอาการไปอีก 70 วัน
พบว่าผู้ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นและมีการติดเชื้อโอมิครอนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากอาการโควิดมีเพียง 6 คน เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นสองสายพันธุ์ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลมีจำนวนทั้งสิ้นถึง 276 คน
(ภาพ1)
ส่วนผู้ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นสองสายพันธุ์และต่อมาเสียชีวิตเนื่องจากการติดเชื้อโควิดมีเพียงรายเดียวเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับการวัคซีนเข็มกระตุ้นสองสายพันธุ์มีจำนวนผู้เสียชีวิตถึง 73 คน
การค้นพบครั้งนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นที่กลุ่มเปราะบาง (608) โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นสองสายพันธุ์ (ไบวาเลนต์-บูสเตอร์)
ในประเทศอิสราเอลในช่วงที่จัดเก็บข้อมูลระหว่าง 24 ก.ย.2022-12 ธ.ค. 2565 มีการระบาดของโอมิครอน
BA.2 มีส่วนแบ่งการระบาด 0.69%
BA.4 มีส่วนแบ่งการระบาด 2.69%
BA.5 มีส่วนแบ่งการระบาด 85.03%
BA.2.75 มีส่วนแบ่งการระบาด 4.01%
BQ.1* มีส่วนแบ่งการระบาด 6.89%
XBB* มีส่วนแบ่งการระบาด 0.31% และ
เดลตาครอน มีส่วนแบ่งการระบาด 0.38%
(ภาพ 2)
ทำให้คาดคะเนว่าได้การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นสองสายพันธุ์สามารถลดอัตราการเจ็บป่วยจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและลดอัตราการเสียชีวิตได้ทั้งจากการติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม BA.2, BA.4, BA.5 และโอมิครอนกลายพันธุ์สายพันธุ์ย่อยอุบัติใหม่ BQ.1*, XBB*, และเดลตาครอน
แม้ว่าโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยอุบัติใหม่ เช่น BQ.1* และ XBB* ได้ปรับส่วนโปรตีนหนามจนแอนติบอดีความจำเพาะสูง (narrow spectrum) ซึ่งผลิตโดยเม็ดเลือดขาวประเภทบีเซลล์ (B-cells) ไม่อาจจดจำ เข้าจับและทำลายได้ แต่โอมิครอนสายพันธุ์ย่อยเหล่านี้ก็ไม่สามารถรอดพ้นระบบภูมิคุ้มจากเม็ดเลือดขาวประเภททีเซลล์ (T-cells) ได้ โดยทีเซลล์จะหลั่งสารกระตุ้นเม็ดเลือดขาวหลากหลายประเภทเข้าทำลายเซลล์ติดเชื้อโควิด โดยไม่คำนึงว่าเซลล์นั้นจะติดโควิดเป็นสายพันธุ์ใด (board spectrum) ได้ถึงร้อยละ 85