นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองโพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ตำรวจจับแพะ บูชายัญ “จินหลิง”
หลังจากคลำทาง ทั้งทีมรองบิ๊กโจ๊ก สืบ
ทีม บช.น. บิ๊กจ้าว สอบ
แบ่งทีมกันวุ่นวาย ไม่ประสานงาน แต่ประสานงาแทน
หลักฐานที่ผมเอาไปให้ตำรวจ แท้จริงไปไม่ถึง ไม่ได้เอาไปใช้สักนิด จะด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่
เมื่อพลเมืองอย่างผมขับเคลื่อน ต้องการกำจัด “ทุนจีนสีเทา” ให้สิ้นซากในสังคมไทย
กลายเป็นทำท่ารับเรื่องถ่ายรูปแล้วโยนทิ้ง
ต่างคนต่างเก่ง ต่างคนต่างไปคนละทาง
คนหนึ่งเก่งออกจอ อีกคนก็เก่งแบบข้ามาคนเดียว
ข้อมูลในสำนวนรั่วไหลมาถึงมือผม จากตำรวจน้ำดีที่มีคุณธรรมแต่ไม่โต จึงต้องเปิดมาแฉกันต่อให้สังคมได้รู้เช่นเห็นชาติ
แปลกประหลาดอันดับต้นๆ จากเรื่องแปลกทั้งหมดของคดี “ตู้ห้าว” คือ
นอกจากเหลือผู้ต้องหาคดีนี้ เพียง 6 คน (ขอย้ำ “ผู้ต้องหา 6 คน” ไม่ใช่เหลือฉี่สีม่วง 6 คน !)
หนึ่งในนั้น คือ “การเอา รปภ. ที่เฝ้าอยู่หน้า จินหลิง ที่สมควรเป็น “พยาน” มาเป็น “เจ้าของสถานที่” โดนข้อหา “เปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต”
แถมยังยัดเข้าคุกเสียด้วย แม้ว่าจะปล่อยออกมาในภายหลัง
นั่นหมายความว่า แทนที่จะได้พยานกลับจับคนบริสุทธิ์เข้าคุก ตั้งข้อหาโง่ๆ บังความผิดให้กับตัวใหญ่
เป็นแค่ รปภ. จะเป็นเจ้าของได้ไง?
สุดประหลาดล้ำลึก ซ่อนเงื่อน กลั่นแกล้ง โยนความผิด
“จับยามคนไทยบ้านนอกไม่รู้เรื่อง แต่กลับปล่อยคนจีนสีเทาออก”
การได้ “พยาน” สัก 1 คน ที่จะให้ข้อมูลใครเข้าออกตลอดระยะเวลา เพราะเป็น รปภ. มาตั้งแต่เปิด ย่อมเป็น “พยานชั้นหนึ่ง”
แต่กลับเอาไปยำเข้าคุกจนเขากลัวหัวหด หลังจาก “ย่ำยี่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” เสียหนำใจ
สถานที่นี้เป็น “สถานที่มั่วสุมเสพยา” ไม่ใช่ “สถานบริการ” อย่างที่พยายามปั้นเรื่องในสำนวนให้ตู้ห่าวรอดคดียาเสพติด
สรุปง่ายๆ แต่ฟังยากระคายหู คือ คดีนี้ “ไม่มีพยาน” แม้แต่คนเดียว
อย่างนี้ “ตู้ห่าว” เจ้าพ่อมาเฟียจีนเทาจะไม่หลุดได้อย่างไร?
หากเข้าใจผิด ช่วยตอบมาที
เรื่องแปลกจะแฉไม่หยุด หากทิศทางคดีไปในทางที่ไม่ชอบ เพื่อให้สังคมตระหนักว่า การต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม แค่เพียง “ต้นน้ำ” ยังยากลำบากถึงปานนี้
แล้วหากไปถึง “กลางน้ำ” (อัยการ) ยัน “ปลายน้ำ” (ศาล) จะเบาหวิวแค่ไหน?
ขอย้ำให้คดีนี้ไปถึงระดับ “อธิบดีอัยการ” ที่ประวัติขาวสะอาด ไม่เอาเทาๆ หารือว่าเป็นคดีอาชญากรรมข้ามชาติ หรือไม่?
เรื่องนี้เอาให้ชัด ไม่งั้นตำรวจไม่มีสิทธิ์ทำสำนวนก็ยกฟ้อง จึงต้องมีอัยการเข้าร่วมเป็นพนักงานสอบสวนด้วย เพราะถือว่าเป็น “คดีนอกราชอาณาจักร” เป็นอาญชกรรมข้ามชาติชัดๆ
นอกจากยานำเข้าจากจีนแล้ว คนเสพยังเป็นต่างด้าวจีน คนขายก็ต่างด้าวจีน จำนวนคนจีนเต็มร้าน ยังแผ่ไปถึงวีซ่ามั่วของจีนเทา นอมินีซื้อบ้านกันเอิกเกริกยกหมู่บ้าน รถหรู เงินสด ก็จีนอีก
แค่นี้ไม่พอที่จะยกระดับจาก อาชญากรรมธรรมดา เป็น “อาชญากรรมข้ามชาติ” อีกหรือ?
คนไทยได้แค่เสิร์ฟก็ยังไล่กลับบ้านนอก ไม่สอบเป็นพยาน แต่ใช้ผืนแผ่นดินไทยทำผิดกฎหมายทั้งหมดชัดเจน
และแทนที่จะเอาคนที่อยู่ในสถานที่วันเกิดเหตุ ทั้งฉี่ม่วง ทั้งฉี่ขาว รวม 220 คน จีนล้วน จับเป็นผู้ต้องหา
เอามือถือตรวจการโอนเงิน การนัดหมายจาก Wechat ที่จีนใช้ไปตรวจสอบ พาสปอร์ตก็ใช้วีซ่ามั่วจากการเรียนภาษา มูลนิธิผี ของไทย ตำรวจ ตม. อีกเหมือนกัน ไม่พลาด
กลับปล่อยไปจนเหลือติดคุกที่ ตม. อยู่แค่ 76 ราย ไม่รู้จะเอายังไง
พวกจีนถือโอกาสล้างข้อมูลมือถือกันหมดเรียบร้อย
ทำกันได้อย่างไร ช่วยตอบสังคมทีท่าน ผบ.ตร.
ที่วันนี้ท่านลุกขึ้นมาเป็น “ยักษ์ตื่น”
หากท่านเป็นคนดี ลงมาคุมคดีเองย่อมถือเป็นเรื่องดี เหมาะสมประดับไว้เป็นเกียรติประวัติผลงานท่าน
ไม่มีเรื่องที่ท่านจะต้องกลัว เพราะเป็นงานใหญ่คดีระดับชาติครั้งสุดท้ายก่อนพ้นชีวิตราชการครับ
ขณะนี้ วงดุริยางค์ตำรวจ บรรเลงเพลงประสานเสียงทำนองเดียวกันว่า
“ชูวิทย์เข้าใจผิด ชูวิทย์เข้าใจคลาดเคลื่อน ชูวิทย์ไม่รู้”
ตอบสังคมทีว่า “จับแพะคนไทย” มาทำไม?
ยุคนี้น่าจะเลิกได้แล้ว ยิ่งคดีใหญ่สังคมจับจ้องแบบนี้ยังเอา “แพะไทยมาบังช้างจีนทั้งตัว”
มันไหวหรือครับท่าน?