ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) มองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในสัปดาห์หน้า (12-16 ธ.ค.) ไว้ที่ระดับ 34.50-35.30 บาทต่อดอลลาร์
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมนโยบายการเงิน และ Dot Plots ของเฟด ผลการประชุม ECB และ BOE ทิศทางเงินทุนต่างชาติ (Flow) รวมถึงท่าทีต่อมาตรการโควิดของทางการจีน ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ยอดค้าปลีก และข้อมูลการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายน ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์ก และผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเดือนธันวาคม และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามดัชนี PMI เบื้องต้นสำหรับเดือนธันวาคม ของสหรัฐฯ ยูโรโซน และอังกฤษ ตลอดจนตัวเลขเศรษฐกิจเดือนพฤศจิกายน ของจีน เช่น การผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก และดัชนีราคาบ้าน
ทั้งนี้ เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวน โดยเงินบาทพลิกจากระดับที่แข็งค่าสุดในรอบเกือบ 6 เดือนที่ 34.58 บาทต่อดอลลาร์ มาทยอยอ่อนค่าลงในช่วงต้นถึงกลางสัปดาห์ ท่ามกลางแรงหนุนของเงินดอลลาร์จากแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ประกอบกับสกุลเงินเอเชียหลายสกุลเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่า (แม้จะมีข่าวที่ทางการจีนเตรียมจะผ่อนคลายมาตรการโควิด) จากความกังวลต่อสัญญาณอ่อนแอของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม เงินบาทพลิกแข็งค่าหลุดแนว 35.00 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้งตามแรงซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังมีปัจจัยลบจากข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ออกมาอ่อนแอ (จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานอย่างต่อเนื่องของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือนที่ 1.67 ล้านราย) ยิ่งหนุนความเป็นไปได้ที่เฟดจะเริ่มชะลอแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม FOMC วันที่ 13-14 ธันวาคม อย่างไรก็ตาม กรอบแข็งค่าของเงินบาทชะลอลงบางส่วนในช่วงปลายสัปดาห์ก่อนเข้าช่วงหยุดยาวของตลาดในประเทศ
ทั้งนี้ วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม 2565 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 34.79 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับ 34.77 บาทต่อดอลลาร์ในวันศุกร์ก่อนหน้า (2 ธ.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 6-9 ธันวาคม 2565 แม้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 5,148 ล้านบาท แต่ก็มีสถานะเป็น Net Inflows เข้าตลาดพันธบัตรไทยถึง 14,149 ล้านบาท (ซื้อสุทธิ 17,565 ล้านบาท หักตราสารหนี้ที่หมดอายุ 3,416 ล้านบาท)