xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯ กำชับหน่วยงานเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำภาคใต้ เตรียมพร้อมช่วยเหลือประชาชน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ติดตามสถานการณ์น้ำทั่วประเทศ โดยเฉพาะในภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งพบว่าในช่วงวันที่ 9-11 ธันวาคมนี้ จะมีฝนตกหนักหลายพื้นที่และมีฝนตกหนักมากบางแห่ง พร้อมกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เฝ้าระวังและบริหารจัดการสถานการณ์น้ำให้เหมาะสม สอดคล้องกับพื้นที่ในแต่ละจังหวัดด้วย

โดยกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ รายงานสภาพอากาศใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา พบว่ากลุ่มจังหวัดภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักมากบริเวณสงขลา นราธิวาส และปัตตานี และออกประกาศ ฉบับที่ 56/2565 แจ้งพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวัง ดังนี้

1. เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำหลาก น้ำท่วมขัง บริเวณ จ.ชุมพร ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ตรัง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส

2. เฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันและระดับน้ำลันตลิ่งบริเวณแม่น้ำสายหลักและลำน้ำสาขาของแม่น้ำชุมพร คลองหลังสวน แม่น้ำตาปี แม่น้ำพุมดวง แม่น้ำตะกั่วป่า แม่น้ำปากพนัง แม่น้ำตรัง คลองชะอวด แม่น้ำสายบุรี แม่น้ำปัตตานี แม่น้ำบางนรา และแม่น้ำโก-ลก


นอกจากนี้ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังได้เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำของอ่างเก็บน้ำ และแหล่งน้ำต่างๆ ให้สอดคล้องกับสภาพอากาศในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้มปริมาตรน้ำสูงกว่าเกณฑ์ปฏิบัติการเก็บกักน้ำสูงสุด และอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีปริมาตรน้ำมากกว่า 80% และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เสี่ยงน้ำล้นที่จะกระทบพื้นที่ท้ายน้ำ โดยศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคใต้ ได้พิจารณาปรับลดการระบายน้ำอยู่ที่ 5 ล้าน ลบ.ม. (จากเดิม 6.05 ลบ.ม.) โดยเริ่มลดการระบายน้ำตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2565เพื่อลดผลกระทบบริเวณท้ายเขื่อนให้น้อยที่สุด

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง พร้อมกำชับให้ทุกหน่วยงานเตรียมการบริหารจัดการน้ำล่วงหน้าเพื่อรองรับสถานการณ์ ทั้งการเร่งระบายน้ำและพร่องน้ำ ลงพื้นที่ตรวจสอบและซ่อมแซมตามแนวคันบริเวณริมแม่น้ำ และเร่งกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ รวมไปถึงการจัดเตรียมเจ้าหน้าที่และเครื่องมือให้ประจำในพื้นที่จุดเสี่ยงภัยให้เพียงพอเพื่อให้ทันต่อการให้ความช่วยเหลือประชาชน