น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้พระราชกฤษฎีกาลดภาษีประจำปีสำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า พ.ศ. 2565 มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยมีสาระสำคัญให้ลดภาษีประจำปีสำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเป็นรถใหม่สำเร็จรูปจากโรงงาน ที่จดทะเบียนภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ
โดยภาษีประจำปีจะลดลงร้อยละ 80 ของอัตราที่กำหนดตาม (11) ของอัตราภาษีประจำปีท้ายพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 และกำหนดให้ลดภาษีเป็นระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่รถนั้นจดทะเบียน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 รวมถึงกระตุ้นระบบเศรษฐกิจการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภาพรวมของประเทศ
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า การลดภาษีประจำปีสำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า เป็นไปเพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายในเบื้องต้นที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศไว้ว่าจะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี 2065 สอดคล้องกับที่ได้ประกาศไว้ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม – 12 พฤศจิกายน 2564 พร้อมกับรักษาความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ รัฐบาลจึงออกมาตรการกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจให้ผู้ใช้รถไฟฟ้า ใช้พลังงานที่สะอาด ช่วยแก้ปัญหามลภาวะทางอากาศ และผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าให้เติบโตอย่างยั่งยืน ยกระดับคุณภาพชีวิตและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อผลดีต่อระบบเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของประเทศ
พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมี 4 มาตรา ประกอบด้วย
มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า "พระราชกฤษฎีกาลดภาษีประจำปีสำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า พ.ศ. 2565"
มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 เป็นต้นไป)
มาตรา 3 ให้ลดภาษีประจำปีสำหรับรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเป็นรถใหม่สำเร็จรูปจากโรงงาน ที่จดทะเบียนภายในระยะเวลา 3 ปีนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับลงร้อยละแปดสิบของอัตราที่กำหนดตาม (11) ของอัตราภาษีประจำปีท้ายพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติรถยนต์ (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2550 เป็นระยะเวลา 1 ปีนับแต่วันที่รถนั้นจดทะเบียน
มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้