สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ธนาคารโลกได้ออกรายงาน "Rural Income Diagnostic" เมื่อวันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม 2565 โดยระบุว่า ในขณะที่ประเทศไทยมีความคืบหน้าในการลดความยากจนลงสู่ระดับ 6.8% ในปี 2563 จากระดับสูงถึง 58% ในปี 2533 แต่อัตราความยากจนของไทยในขณะนี้กำลังสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ภาวะชะงักงันของรายได้ด้านการเกษตรและการทำธุรกิจ และวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ในปี 2563 อัตราความยากจนในพื้นที่ชนบทอยู่ในระดับสูงกว่าพื้นที่เขตเมืองมากกว่า 3% และจำนวนคนยากจนในพื้นที่ชนบทมีมากกว่าคนยากจนในพื้นที่เขตเมืองเกือบ 2.3 ล้านคน
นอกจากนี้ การกระจายตัวของความยากจนยังแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค โดยอัตราความยากจนในพื้นที่ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น มีสัดส่วนเกือบ 2 เท่าของอัตราความยากจนทั่วประเทศ
ประเทศไทยมีอัตราความไม่เท่าเทียมกันด้านรายได้สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก โดยภาคครัวเรือนในพื้นที่ชนบทมีรายได้โดยเฉลี่ยต่อเดือนเพียง 68% ของรายได้เฉลี่ยต่อเดือนของภาคครัวเรือนในพื้นที่เขตเมือง นอกจากนี้ ภาคครัวเรือนในพื้นที่ชนบทยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาด้อยการศึกษา มีผู้ที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูจำนวนมาก และสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก
อย่างไรก็ดี นายฟาบริซิโอ ซาร์โคเน ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย ยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อภาพรวมของไทย โดยกล่าวว่า ประเทศไทยมีศักยภาพในการสนับสนุนรายได้ภาคครัวเรือนในพื้นที่ชนบทให้เติบโตอย่างรวดเร็วและยั่งยืน มาตรการด้านนโยบายที่ช่วยเพิ่มผลิตผลด้านการเกษตร สนับสนุนการกระจายพืชผลให้มีมูลค่าที่สูงขึ้น และปรับปรุงการเข้าถึงตลาดผ่านทางการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่สามารถเชื่อมโยงพื้นที่ชนบทได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้ไทยสามารถก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ ที่บรรดาคนยากจนในพื้นที่ชนบทเผชิญอยู่ไปได้