xs
xsm
sm
md
lg

“หมอธีระวัฒน์”เผยสารในผลไม้และในเครื่องดื่มที่มีประโยชน์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า สารในผลไม้และในเครื่องดื่มที่มีประโยชน์

โลกได้รับทราบสรรพคุณของไวน์ที่มีผลต่อสุขภาพจากรายงานของฝรั่งเศสในปี 1992 ในไวน์มีระดับแอลกอฮออล์ 11-14 % และมีสารประกอบ Polyphenols

ซึ่งตัวเสริมสุขภาพในไวน์นั้นได้จากทั้งแอลกอฮออล์ในปริมาณไม่มากและได้จากสาร Polyphenols

Resveratrol อยู่ในเปลือกขององุ่น (ในไวน์แดง) และผลไม้นานาชนิด เช่น Cranberry,Mulberry,Lingonberry,Bilberry,Partridgeberry,Sparkleberry, Blueberry, Jackfruit, Peanut
แม้กระทั่งใบและดอกของต้นไม้หลายชนิด

สาร ซึ่งมีในไวน์แดงที่มีชื่อว่า Resveratrol และ New York Academy of Science ได้ตีพิมพ์บทความทางวิชาการ ในเดือนมกราคม 2011 และหลังจากนั้นมีการประชุมเป็นระยะ โดยสรุปใน E-Briefing (กุมภาพันธุ์ 2011) และในเวลาไม่นานมีบทความในวารสาร Scientific American (มกราคม 2012) ในเส้นทางสู่การมีอายุยืน
ความเป็นอมตะ คือมีชีวิตยืนยาวสุขภาพดีสมองไม่เสื่อม ไม่มีโรคเกี่ยวเนื่องกับอายุขัยเป็นสิ่งที่มนุษย์ (โดยเฉพาะตั้งแต่เลข 4 ขึ้นไป) แสวงหา

กลไกที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดที่ทำให้อายุยืนยาวแต่ไม่มีใครทำ คือทำให้ตกอยู่ในภาวะอดอาหาร โดยเฉพาะขาดกลูโคสหรือน้ำตาล (Starvation และ Caloric Restriction) ซึ่งพิสูจน์ได้ในสัตว์ทดลองเช่นหนู ตั้งแต่ 80 ปีมาแล้วโดย Clive McCay และ Mary Crowell จากมหาวิทยาลัย Cornell และเป็นจริงในลิงเช่นกัน ในราวปี 1950 เป็นต้นมา Denham Harman ที่มหาวิทยาลัย California, Berkley ได้พัฒนาความรู้โดยเชื่อมโยงกับกระบวนการเกิดออกซิเจนพิษ (oxygen free radical species) ในร่างกาย ซึ่งในปัจจุบันก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งในกลไกทั้งหมดเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ทั้งหลายทั้งปวงดูจะมุ่งไปสู่ Sirtuins ซึ่งเป็นโปรตีนควบคุมกระบวนการในร่างกาย ซึ่งโดยปกติจะนิ่งเงียบกบดานอยู่ (silent information regulator หรือ SIR) และพบได้ตั้งแต่ในยีสต์ถึงมนุษย์

โดยกลุ่มของ Leonard Guarente และได้ตีพิมพ์ผลงานในปี 1995 ในวารสาร Cell และพบว่า SIRT 4 มีบทบาทในการยืดอายุของยีสต์

ในช่วงเวลา 10 ปี จากปี 2000-2011 มีงานวิจัยเกี่ยวกับ SIR และเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องเกือบ 1,200 ฉบับ โดยการประชุมซึ่งจัดโดย NYAS มีนักวิทยาศาสตร์จาก Weill Cornell Medical College จาก Ecole Polytechnique Federale Lausanne จาก MIT และจาก Gladstone Institute (UCSF) รวมทั้งจาก Harvard Medical School

นอกจากที่ Sirtuins จะเกี่ยวพันถึงกระบวนการอดอาหาร (ให้อายุยืน แข็งแรง) ยังเชื่อมโยงไปถึงโมเลกุลขนาดเล็กที่ชื่อว่า Resveratrol ในระบบการรับรู้ของเซลล์ ในการปรับผันการใช้น้ำตาล กลูโคสหรือไกลโคเจน (Glycogen) เมื่ออยู่ในภาวะอดอาหาร ขาดพลังงาน และหันไปใช้กรดไขมันเป็นแหล่งพลังงานแทน ทั้งนี้จะผ่านทางเอนไซม์หลัก 3 ตัว คือ AMPK (AMP-activated protein kinase) จะตอบสนองต่อ AMP และ ATP ในขณะที่ SIRT1 ต้องการ NAD+/NADH และ GCN5 จะตอบสนองต่อ Acetyl-CoA

ทั้ง 3 ตัวหลักจะมีผลต่อการทำงานของ PGC-1α ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นหรือควบคุมการทำงานของโรงงานของเซลล์ คือ ไมโตคอนเดรีย (mitochondria) ทั้งนี้ SIRT1 จะกระตุ้น PGC-1α ในบทบาทของเอนไซม์ deacetylase และ acetylase จะยับยั้ง PGC-1 α Resveratrol เกี่ยวกับโรงงานของเซลล์ โดยผ่านทาง AMPK ซึ่งทำให้ระดับของ NAD+เพิ่มขึ้น และทำให้เกิดการกระตุ้น SIRT1 ส่งผลควบคุม PGC-1α (ร่วมกับ GCN5และSRC3) และ SIRT1 ยังมีผลต่อ FOXO (Foxhead Box Transcription Factor Type 0)

ทั้งหมดนี้จะควบคุมการทำงาน
ของไมโตคอนเดรียและความสมดุลย์ของพลังงานระดับเซลล์

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าระดับ NAD+ ที่สูงขึ้นเป็นแกนกลางสำคัญ โดยจะเพิ่มปริมาณและการทำงานของ SIRT1 ส่งผลควบคุม ยั้บยั้งการทำงานของเอนไซม์ PARP (Poly-ATP-Ribosome Polymerase) ซึ่งเป็นตัวสำคัญในกลไกที่ทำให้เซลล์ตาย หรือในทางกลับกันมีการซ่อมแซมของเซลล์

เพราะฉะนั้นในหนูที่ขาดพลังงานจากกลูโคส แม้ได้รับไขมันเพิ่มก็ตาม กลับผอมเพรียวขึ้น และไม่มีความเสี่ยงในการเกิดเบาหวาน โดยในเซลล์จะมีจำนวนไมโตคอนเดรียเพิ่มขึ้นและตัวใหญ่ขึ้น

ในการศึกษาต่อมายังพบว่า SIRT1 ยังมีบทบาทแม้แต่ในภาวะที่อาหารเหลือเฟือ และการที่มี SIRT1 มากขึ้น ยังช่วยบรรเทาอาการของหนู ที่เป็นโรคพาร์กินสัน อัลไซเมอร์ และโรคสมองเสื่อมที่มีการเคลื่อนไหวและสติปัญญาบกพร่อง คือ โรค Huntington

ตัว SIRT1 ยังมีผลต่อรูปร่างความผิดปกติของตัวอสุจิ (sperm) ทั้งนี้ถ้าปรับพันธุกรรมของหนูให้เซลล์อัณฑะขาด SIRT1 ตัวอสุจิจะผิดปกติ

นอกจาก SIRT1 ยังมี SIRT3 ซึ่งปรับระดับของออกซิเจนพิษในเซลล์และเมตาบอลิซึมในกรดไขมัน ซึ่งมีผลในโรคที่เกิดจากความผิดปกติของไขมัน เบาหวาน อ้วน เป็นต้น

รวมทั้งจากการที่ SIRT3 เป็น Sirtuin หลักที่อยู่ในไมโตคอนเดรีย ดังนั้น SIRT3 จะสามารถควบคุมมะเร็งทั้งขนาดและการกระจายโดยผ่านโมเลกุลออกซิเจนพิษ

Resveratrol มีความเกี่ยวพันกับ Sirtuin ต่างๆ และระดับของ NAD+ ซึ่งเป็นตัวตั้งต้นของกระบวนการปรับความสมดุลย์ของพลังงาน คงความมั่นคงแข็งแรงของโรงงานในเซลล์ คือ ไมโตคอนเดรีย ปรับสภาพเซลล์ให้คงทนอยู่ได้ และซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย และส่งผลในการบรรเทาโรคที่เกี่ยวข้องกับเมตาบอลิซึมทั้งหลาย รวมทั้งเบาหวาน โรคไขมันสูง เป็นต้น

Resveratrol ที่เป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ในปัจจุบันเตรียมจากรากแห้งของ Polygonum Cuspidatum ในญี่ปุ่นและจีน โดยที่สมุนไพรที่สกัดจาก Polygonum ใช้เป็นยาฆ่าเชื้อรา โรคผิวหนัง โรคตับ และโรคหัวใจมาแต่โบราณกาล

ในส่วนที่เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น ถัดจากกลไกระดับในเซลล์ออกมา คือ Resveratrol ยับยั้งกระบวนการ LDL (ไขมันเสีย) Peroxidation ซึ่งนำสู่เส้นเลือดตีบ และเพิ่มไขมันดี HDL และกระตุ้นให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่น ขยายขนาดได้มากขึ้น โดยผ่านทาง nitric oxide ยับยั้ง Endothelin ซึ่งทำให้เส้นเลือดหดตัว และอาจมีผลทำให้เลือดไม่หนืด และการล้นทะลักของเลือดกลับเข้ามามากเกินไป มายังเนื้อเยื่อที่ขาดเลือด และปรับสภาพการทำงานของหัวใจ (Pre-Conditioning) ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการปกป้องหัวใจจากโรค

ในส่วนของสมองและระบบประสาท Resveratrol ยังสามารถซึมผ่านเข้าสมอง ทั้งๆที่สมองจะมีระบบป้องกันเข้มงวดจากผนังปราการที่หลอดเลือด (Blood Brain Barrier) และส่งผลปรับการทำงานของเซลล์ Astrocyte ซึ่งเกี่ยวข้องกับ Glutamate และการอักเสบที่เกี่ยวพันกับโรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน นอกจากนั้นยังมีผลต่อการฟื้นฟูสภาพ และการปรับเพิ่มพูนประสิทธิภาพของระบบประสาท และการหลั่งของสารสำคัญคือ trophic factor S100B