นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม นำผู้เสียหายคดีทางเพศ 3 กรณี เข้าร้องเรียนที่กระทรวงยุติธรรม เพื่อเสนอเพิ่มโทษผู้กระทำผิดทางเพศ และวางมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำผิดซ้ำ โดยผู้เสียหายคดีทางเพศที่เดินทางมาในวันนี้ประกอบด้วย ดาราสาวที่แจ้งความถูกนายอภิดิศร์ หลานอดีตรัฐมนตรี ข่มขืนกระทำชำเรา ผู้เสียหายในคดีถูกล่วงละเมิดทางเพศ โดยมีนายปริญญ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ต้องหา และ คดี น.ส.ใจบัว ถูกกระทำอนาจาร โดยมีตำรวจยศพันตำรวจตรี ตำแหน่งสารวัตร สน.บางพลัด ตกเป็นผู้ต้องหา
นายษิทรา กล่าวว่า เหยื่อคดีทางเพศหลายเคสมีผู้กระทำความผิดแบบไม่เกรงกลัวกฎหมาย และทำผิดซ้ำๆ อยากให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมหาวิธีที่จะให้ผู้กระทำความผิดหลาบจำและไม่กลับมาทำผิดซ้ำ
ทางด้านนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า การมาของผู้เสียหายวันนี้ เข้ากับแนวทางของกระทรวงยุติธรรมที่ได้เสนอกฎหมายป้องกันการกระทำผิดซ้ำในเรื่องเพศและความรุนแรง โดยคนที่ทำความผิดอนาจาร ข่มขืน เรียกค่าไถ่ หรือทำความรุนแรงทั้งหลาย ถ้ายังถูกคุมขังอยู่ในคุก ผู้เสียหายก็สามารถขอให้อัยการทำเรื่องส่งศาล เพื่อให้ทำเรื่องควบคุมต่อหลังจากพ้นโทษได้อีก 10 ปี เพื่อเฝ้าระวังพฤติกรรมของคนเหล่านี้ด้วยการติดกำไล EM แต่จะให้ติดกำไล EM กี่ปีนั้น ขึ้นอยู่การพิจารณาของคณะกรรมการ ซึ่งมีรองปลัดกระทรวงยุติธรรม และอีกหลายส่วนร่วมเป็นคณะกรรมการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า กฎหมายฉบับนี้สืบเนื่องจากกรณีนายสมคิด พุ่มพวง ฆ่าเหยื่ออีก หลังออกจากเรือนจำไม่นาน จึงเกิดแนวคิดออกกฎหมายฉบับนี้ และผ่านทั้ง 2 สภาเรียบร้อยแล้ว โดยการติดกำไล EM สูงสุดเป็นระยะเวลา 10 ปี
ดาราสาวที่แจ้งความถูกหลานอดีตรัฐมนตรีกระทำชำเราตั้งข้อสงสัยว่าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าผู้ที่ติดกำไล EM จะไม่ก่อเหตุซ้ำ นายสมศักดิ์ ชี้แจงว่า จะมีคณะกรรมการประเมินตลอดเวลา หากระหว่างติดกำไล EM แล้วไปทำไม่ดี สามารถนำตัวมาคุมขังในสถานที่ที่ไม่ใช่เรือนจำได้ 3 ปี และหากเป็นกรณีฉุกเฉิน คุมขังทันทีได้ 3 วัน
ขณะที่ น.ส.ใจบัว กล่าวว่า กรณีเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยและหลายคนไม่กล้าออกมาส่งเสียง จึงขอบคุณที่มีกฎหมายฉบับนี้ออกมา