สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ข้อมูลตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลรายสัปดาห์ทั่วโลกถึงวันที่ 11 กรกฎาคม 2565 มีมูลค่า 890,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยวันละ 53,550 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมในไทยยังคงให้ผลตอบแทนติดลบ โดยที่อีเธอเรียม ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุด 71.32%, คับ ให้ผลตอบแทนติดลบ 67.09%, ริปเปิ้ล ให้ผลตอบแทนติดลบ 61.92% และบิตคอยน์ ให้ผลตอบแทนติดลบ 56.65%
ขณะที่มูลค่าซื้อขายในช่วงเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา อยู่ที่ 72,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าซื้อขายที่ลดลงต่ำสุดจากที่เคยขึ้นไปที่จุดสูงสุด 250,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการลดลงของผู้ซื้อขายประเภทบุคคลในประเทศเป็นหลัก ด้านกลุ่มนิติบุคคลต่างประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิตั้งแต่เดือน มี.ค.65 จากจำนวนบัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมดผ่านศูนย์ซื้อขาย 2,867,231 บัญชี
ทั้งนี้ ในปี 2565 มูลค่าซื้อขายสะสมแยกประเภทสินทรัพย์พบว่าค่อนข้างกระจายตัว โดยมีมูลค่าสินทรัพย์สูงสุดบนศูนย์ซื้อขายในประเทศไทย ได้แก่ ธีเทอร์ (Tether) มีมูลค่าซื้อขาย 1 แสนล้านบาท, บิตคอยน์ (Bitcoin) 8.44 หมื่นล้านบาท และ อีเธอเรียม (Ethereum) มีมูลค่าซื้อขาย 5.52 หมื่นล้านบาท
สำหรับทั้ง 3 สินทรัพย์นี้ มีมูลค่าซื้อขายสูงสุดบนศูนย์ซื้อขายในประเทศไทย ขณะที่เหรียญ KUB มีมูลค่าซื้อขายบนศูนย์ซื้อขายในประเทศไทยเป็นอันดับที่ 6 อยู่ที่ 4.27 หมื่นล้านบาท และให้ผลตอบแทนติดลบ 67.09%
ขณะที่มูลค่าซื้อขายในช่วงเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา อยู่ที่ 72,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าซื้อขายที่ลดลงต่ำสุดจากที่เคยขึ้นไปที่จุดสูงสุด 250,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการลดลงของผู้ซื้อขายประเภทบุคคลในประเทศเป็นหลัก ด้านกลุ่มนิติบุคคลต่างประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิตั้งแต่เดือน มี.ค.65 จากจำนวนบัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมดผ่านศูนย์ซื้อขาย 2,867,231 บัญชี
ทั้งนี้ ในปี 2565 มูลค่าซื้อขายสะสมแยกประเภทสินทรัพย์พบว่าค่อนข้างกระจายตัว โดยมีมูลค่าสินทรัพย์สูงสุดบนศูนย์ซื้อขายในประเทศไทย ได้แก่ ธีเทอร์ (Tether) มีมูลค่าซื้อขาย 1 แสนล้านบาท, บิตคอยน์ (Bitcoin) 8.44 หมื่นล้านบาท และ อีเธอเรียม (Ethereum) มีมูลค่าซื้อขาย 5.52 หมื่นล้านบาท
สำหรับทั้ง 3 สินทรัพย์นี้ มีมูลค่าซื้อขายสูงสุดบนศูนย์ซื้อขายในประเทศไทย ขณะที่เหรียญ KUB มีมูลค่าซื้อขายบนศูนย์ซื้อขายในประเทศไทยเป็นอันดับที่ 6 อยู่ที่ 4.27 หมื่นล้านบาท และให้ผลตอบแทนติดลบ 67.09%