พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. มีการผ่อนคลายมาตรการให้เปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ และอาบอบนวดในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งขณะนี้ผ่านมาเป็นเวลา 4 วันแล้ว และผ่านพ้นในช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์และวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวออกมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก ภาพรวมจากการตรวจสอบในทุกพื้นที่กองบัญชาการ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือในการเปิดปิดสถานบริการตรงตามเวลาที่กฎหมายกำหนด และไม่มีการกระทำที่ละเมิดกฎหมาย แต่จากการตรวจสอบยังพบปัญหาเรื่องการขออนุญาตเปิดสถานบริการตามมาตรการที่ ศบค. กำหนด ยังมีร้านและสถานบริการอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้ทำเรื่องขออนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมาย จึงได้สั่งการให้ทุกกองบัญชาการและทุกพื้นที่สถานีตำรวจแจ้งเตือนให้ผู้ประกอบการไปทำหนังสือและขอใบอนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่เนื่องจากขณะนี้มีร้านที่ประสงค์จะทำเรื่องขออนุญาตเป็นจำนวนมาก และต้องใช้เวลาในการดำเนินการค่อนข้างนาน จึงอาจมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของร้านได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงผ่อนผันมาตรการการขออนุญาตดังกล่าวออกไปก่อน แต่หากผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีการทำหนังสือและขอใบอนุญาตเรียบร้อยแล้วก็จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายตามขั้นตอน
ทั้งนี้ ในการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ล่าสุด และมีการออกตรวจในหลายพื้นที่ได้กำชับสั่งการให้ทุกสถานีตำรวจและผู้ประกอบการทุกแห่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายเปิดปิดให้ถูกต้องตามเวลาและป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ เพราะหากเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น ก็มีความจำเป็นต้องดำเนินการปิดสถานบริการแห่งนั้น หรืออาจได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างจนไม่สามารถเปิดสถานบริการได้
ด้าน พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ให้ข้อมูลไปในทิศทางเดียวกันว่า จากการตรวจสอบสถานบันเทิงและร้านต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯ พบว่าร้านส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฎหมาย และยังไม่มีสถานที่ใดกระทำผิดกฎหมาย ทั้งนี้ ได้มีการวางมาตรการเพิ่มเติมในการป้องกันการทะเลาะวิวาทหรือการเกิดเหตุอาชญากรรมต่างๆ หลังสถานบันเทิงปิด เหมือนกับในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรอื่น โดยจะมีการตั้งด่านตรวจค้นในพื้นที่ต่างๆ และจะสุ่มตรวจตามสถานบันเทิงในย่านสำคัญที่มีผู้มาใช้บริการเป็นจำนวนมากเพื่อป้องกันไม่ให้มีการทะเลาะวิวาทหรือใช้อาวุธปืนในการก่อเหตุ
ทั้งนี้ ยืนยันว่า มาตรการต่างๆ ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลจะดำเนินการไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งหรือตั้งใจจะทำให้การดำเนินธุรกิจมีปัญหา แต่เนื่องจากมีความจำเป็นต้องดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มข้นเพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดเป็นคลัสเตอร์ หรือมีการกระทำความผิดในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการเปิดบริการในวงกว้าง