พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ กบฉ. ที่ห้องประชุมสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ทำเนียบรัฐบาล โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการ สมช. เข้าร่วมการประชุม
ทั้งนี้ ในที่ประชุม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค4 ส่วนหน้า) ได้รายงานผลการดำเนินงานตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ห้วง 20 มีนาคม - 5 พฤษภาคม 2565 ซึ่งภาพรวมสถานการณ์การก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีแนวโน้มลดลง และประชาชนในพื้นที่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐด้วยดี ประกอบกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความเสียสละ ทุ่มเท
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบความคืบหน้าผลการดำเนินงานตามแผนปรับลดพื้นที่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งมีแนวโน้มปรับลดพื้นที่ต่อเนื่อง และได้เห็นชอบให้ปรับลดพื้นที่ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ออกจากพื้นที่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง เนื่องจากผ่านเกณฑ์การประเมิน และนำ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 มาบังคับใช้แทน เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างของการบังคับใช้กฎหมาย
พร้อมทั้งเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศฯ ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่จังหวัดใช้แดนภาคใต้ ยกเว้น อ.ศรีสาคร อ.สุไหงโก-ลก อ.แว้ง อ.สุคิริน จ.นราธิวาส, อ.ยะหริ่ง อ.ไม้แก่น อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี และ อ.เบตง อ.กาบัง จ.ยะลา ออกไปอีกเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ 20 มิถุนายน - 19 กันยายน 2565 (ครั้งที่ 68) เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและยังคงประสิทธิภาพในการปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ต่อไป
ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ได้ร่วมมือกันปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพด้วยความเสียสละ ทุ่มเท และขอบคุณประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีความเข้าใจ และให้ความร่วมมือ ร่วมใจ เป็นอย่างดียิ่ง
ขณะเดียวกัน ได้กำชับ กอ.รมน.ภาค4 ส่วนหน้า ให้เข้มงวดงานด้านการข่าว และเฝ้าระวังพื้นที่ปรับลด ซึ่งอาจถูกใช้เป็นแหล่งหลบซ่อนและพักพิงของกลุ่มผู้ก่อเหตุ รวมถึงให้คงบังคับใช้กฎหมาย จริงจัง ควบคู่กับการสร้างความเข้าใจกับประชาชนต่อเนื่อง รวมทั้งให้เตรียมแผนการปรับลดพื้นที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพิ่มเติมเพื่อรองรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจและส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป