นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำหนังสือเข้าร้องเรียนกับผู้บัญชาการจเรตำรวจแห่งชาติ ให้ตั้งคณะกรรมการสอบวินัยผู้บังคับการสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ และแพทย์ที่ชันสูตรศพของ น.ส.ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ หรือ แตงโม ที่เสียชีวิตจากการตกเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมีการนำศพส่งชันสูตรที่โรงพยาบาลตำรวจ พร้อมทั้งเข้าให้ปากคำในการร้องเรียนเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง 4 นาย ที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนสอบสวนในคดีของแตงโม
โดยประเด็นที่ยื่นให้ตรวจสอบวินัยผู้การนิติเวชและแพทย์ที่ชันสูตร เนื่องจากแพทย์มีหน้าที่ในการชันสูตรศพเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่การนำศพออกมาทดลองลักษณะบาดแผล ซึ่งอาจทำให้ได้รับความเสียหายหรือศพอาจจะปนเปื้อนพยานหลักฐานอื่นๆ จนเกิดความเสียหายต่อคดี เพราะในช่วงที่นำศพออกมาทดลองสภาพแวดล้อมไม่ตรงกัน และใบพัดเรืออาจมีการปนเปื้อน ซึ่งเรื่องดังกล่าวมีเพียงแพทย์และผู้ช่วยแพทย์ รวมถึงช่างภาพเท่านั้น ไม่มีเจ้าหน้าที่จากกองพิสูจน์หลักฐาน หรือผู้เชี่ยวชาญด้านใบพัดมาร่วมตรวจสอบด้วย ส่วนตัวมองว่ากรณีนี้เป็นการลักศพหรือลักทรัพย์ เพราะไม่ได้แจ้งให้ญาติและทนายความทราบ ถึงแม้ว่าร่างจะอยู่ในการควบคุมของสถาบันนิติเวชวิทยาก็ตาม แต่ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวไม่สามารถทำได้ อีกทั้งแพทย์ยังมีการให้การเท็จเรื่องเกี่ยวกับบาดแผลซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง
ส่วนกรณีที่ผู้บังคับการนิติเวชไม่ทราบว่ามีการกระทำดังกล่าวนั้น ถือเป็นการปล่อยปละละเลยหรือมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องดังกล่าวจึงจำเป็นต้องมาร้องเรียนวันนี้
ขณะที่การตั้งคณะกรรมการสอบสวน โดยมี พล.ต.อ.มนตรี ยิ้มแย้ม ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานกรรมการสอบข้อเท็จจริงของกรณีนี้ มองว่าแม้ พล.ต.อ.มนตรี เป็นนักเรียนนายร้อยรุ่นเดียวกันกับ พล.ต.ท.จิรภัทร ภูมิจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 แต่ยังเชื่อใจในการทำงานของ พล.ต.อ.มนตรี และพยานหลักฐานที่ตนเองรวบรวมนำไปมอบให้กับคณะกรรมการสอบสวน มั่นใจว่าจะดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวได้
นายอัจฉริยะ ยอมรับว่า การร้องเรียนพุ่งเป้าไปถึงผู้กำกับ สภ.เมืองนนทบุรี เป็นอันดับ 1 เพื่อให้ย้ายออกจากพื้นที่ให้ได้ เพราะเจ้าตัวยังมีกรณีที่อยู่ระหว่างการสอบสวนหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการโอนเบี้ยเลี้ยงตำรวจช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา การปล่อยให้มีการเปิดบ่อนการพนันในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และกรณีล่าสุดคือ การปล่อยให้ของกลางในความควบคุมได้รับความเสียหาย
นอกจากนี้ ยังมองอีกว่าการกระทำของผู้กำกับ สภ.นนทบุรี เป็นลักษณะเหมือนการข่มขู่ตนไม่ให้ดำเนินการร้องเรียนต่อ ซึ่งหากมีข้อเท็จจริงจากคณะกรรมการสอบสวนหรือในชั้นศาลออกมาแล้วว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง สามารถมาแจ้งความกลับได้ ซึ่งทุกข้อหาที่ผู้กำกับ สภ.เมืองนนทบุรี แจ้งความไว้ก่อนหน้านี้ มองว่าตนเองสามารถชี้แจงและต่อสู้คดีได้ทุกคดี และหากผลการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องดังกล่าวออกมาไม่เป็นไปตามที่ตนเองคิดไว้ หรือเป็นคุณกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนเองก็จะเดินหน้าต่อไป และยังมีอีกหลายขั้นตอนที่สามารถดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้
ส่วนกรณีของเรือลำที่เกิดเหตุที่ตนระบุว่ามี 2 ลำ ขณะนี้มีข้อมูลแล้วว่าเรือลำเกิดเหตุของจริงอยู่ที่จังหวัดชลบุรี และถูกชำแหละเป็นซากเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในวันพรุ่งนี้จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าให้ข้อมูลกับกรมสอบสวนคดีพิเศษอีกครั้ง