นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ข้าว วิเคราะห์ราคาข้าวเปลือกทุกชนิดของเดือนเมษายน 2565 โดยเมื่อเทียบกับเดือนมกราคมที่ผ่านมาพบว่า มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิเพิ่มมากที่สุด รองลงมาเป็นข้าวปทุมธานี โดยเปรียบเทียบเป็นรายชนิดข้าวได้ดังนี้
– ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตันละ 12,500-11,213 บาท เพิ่มขึ้น 1,287 บาท คิดเป็นร้อยละ 11.47
– ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิภาคกลางและภาคเหนือตันละ 12,000-10,630 บาท เพิ่มขึ้น 1,370 บาท คิดเป็นร้อยละ 12.88
– ราคาข้าวเปลือกปทุมธานีตันละ 11,000-9,816 บาท เพิ่มขึ้น 1,184 บาท คิดเป็นร้อยละ 12.06
– ราคาข้าวเปลือกเจ้าตันละ 8,500-8,156 บาท เพิ่มขึ้น 344 บาท คิดเป็นร้อยละ 4.22
– ราคาข้าวเปลือกเหนียวตันละ 10,100-9,773 บาท เพิ่มขึ้น 327 บาท คิดเป็นร้อยละ 3.34
ทั้งนี้ ราคาข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาวและข้าวเปลือกเจ้าปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากมีปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย โรงสีบางรายต้องการสินค้าเพื่อใช้และเก็บสต็อก พร้อมกันนี้ โรงงานอาหารสัตว์หันมารับซื้อข้าวเปลือกเจ้าเพิ่มมากขึ้น เพื่อนำสีเป็นข้าวกล้องสำหรับใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์แทนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
อธิบดีกรมการข้าว กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการวิเคราะห์ราคาข้าวสารทุกชนิดของเดือนเมษายน 2565 เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม พบว่า ข้าวหอมมะลิข้าวเจ้าและข้าวปทุมธานี มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ข้าวเหนียวมีแนวโน้มลดลง ดังนี้
– ราคาข้าวสารหอมมะลิ 100% ตันละ 26,900-23,250 บาท เพิ่มขึ้น 3,650 บาท คิดเป็นร้อยละ 15.69
– ราคาข้าวสารปทุมธานีตันละ 21,900-18,710 บาท เพิ่มขึ้น 3,190 บาท คิดเป็นร้อยละ 17.05
– ราคาข้าวสารเจ้า 100% ตันละ 14,500-13,010 บาท เพิ่มขึ้น 1,490 บาท คิดเป็นร้อยละ 11.45 ส่วนข้าวสารเจ้า5% และข้าวสารเจ้า 25% ราคาเพิ่มขึ้นเช่นกัน
– ราคาข้าวสารเหนียว 10% ตันละ 19,800-20,300 บาท ลดลง 500 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.46
สำหรับสาเหตุที่ราคาข้าวสารทั้งข้าวเจ้า ข้าวนึ่ง ปลายข้าวหอมมะลิ และปลายข้าวปทุมธานี ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการซื้อข้าวเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในการส่งมอบให้กับคู่ค้าและต่างประเทศจึงเสนอราคารับซื้อราคาสูงเพื่อให้ได้สินค้าตามปริมาณและคุณภาพข้าวที่ต้องการ โดยความต้องการรับซื้อและราคาที่เพิ่มขึ้นนี้ส่งผลดีต่อชาวนาอย่างมาก