xs
xsm
sm
md
lg

'เต้น'เล่าย้อนความหลัง 12 ปี เหตุสลายชุมนุม 10 เมษา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมเครือข่ายไล่ประยุทธ์ อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. โพสต์เฟซบุ๊ก “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ”ระบุว่า หลังประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 7 เมษายน 2553 รัฐบาลสั่งปิดโทรทัศน์ดาวเทียมพีเพิลแชนแนล (PTV)และ 36 เว็บไซต์ที่ถ่ายทอดการชุมนุม

8 เมษายน PTV จอดำ พี่น้องกรุงเทพฯและปริมณฑลกังวล ห่วงคนที่ปักหลักสู้อยู่ผ่านฟ้า ราชประสงค์ หลั่งไหลเข้าที่ชุมนุมทั้ง 2 จุด ต่างจังหวัดเตรียมตัวเข้ามาสมทบ

ผมแถลงประณามรัฐบาล ยืนยันว่าไม่มีความชอบธรรมใดๆ ที่จะประกาศพรก.ฉุกเฉิน ไม่มีความรุนแรงบานปลายที่เกิดจากการชุมนุม การกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่เพียงเล็กน้อย ไม่ถือเป็นเหตุจะใช้กฎหมายที่ให้อำนาจกำลังทั้งทหาร ตำรวจ เข้าสลายการชุมนุมได้ เรียกร้องให้คืนสัญญาณโทรทัศน์ทันที

บรรยากาศตึงเครียด บทบรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชน 9 เมษายน ขึ้นหัวข้อ “ได้กลิ่นคาวเลือด” ตั้งคำถามถึงความชอบธรรมในการประกาศ พ.ร.ก. ประเมินเจตนารัฐบาลว่าต้องการสลายการชุมนุม

เช้าวันที่ 9 เราเคลื่อนขบวนรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ไปสถานีดาวเทียมไทยคม ลาดหลุมแก้ว เรียกร้องรัฐบาลคืนสัญญาณ PTV พรรคพวกและมวลชนบางส่วนทยอยออกไปก่อน ผม จตุพร พี่ดารุณี และอีกหลายคนตามไปเป็นขบวนปิดท้าย

ก่อนถึงที่หมายราว 6 - 7 กิโลเมตร ขบวนเราหยุดนิ่ง พี่น้องมอเตอร์ไซค์ล่วงหน้าไปดู กลับมาบอกว่าขบวน เจ๋ง ดอกจิก ขวางขบวนทหารอยู่ รถติดยาว

“พี่ตู่ ไปกับพี่เจ๋งก่อน ผมจัดการตรงนี้เอง เสร็จแล้วเดี๋ยวตามไป”
ผมห่วงที่ไทยคมเพราะพี่น้องบางส่วนไปถึงแล้ว เคลื่อนขบวนตัวเองไปขวางรถทหารไว้ เห็นนั่งกันเต็ม 3 - 4 คันรถบัส จึงจัดการโดยสันติวิธี ให้พี่น้องปล่อยลมยางทุกคัน ลดการเผชิญหน้าที่สถานีไทยคม

“พี่ๆ รถทหารอีก 3 - 4 คัน ขับหนีเลี้ยวเข้าซอยไป” หน่วยหน้ามอเตอร์ไซค์ตะโกนบอก

ผมเห็นยางล้อทุกคันสิ้นลมแล้ว จึงนำขบวนย้อนกลับไปดู ซอยที่ว่าเป็นถนนดิน เข้าไปได้หน่อยเดียวก็เห็นรถทหารจอดแถวตอนเรียงหนึ่งอยู่ 3 คัน เพราะเป็นซอยเข้าเเปลงถมดินไปต่อไม่ได้ มอเตอร์ไซค์ฝ่ายเราบางส่วนเกาะติดอยู่
ผมกระโดลงจากรถ 6 ล้อ เห็นคันแรกเป็น GMC คันกลางเป็นปิคอัพ ส่วนคันหน้าสุดเป็นรถตู้ขาวฟิล์มดำ เดินผ่านคันแรกที่มีทหารนั่งเต็มไปหาคันที่ 2 ปิคอัพสีเขียวเข้ม มีผ้าใบคลุมกระบะ ทหาร 3 - 4 คน นั่งคุมเชิงบนผืนผ้า
“ข้างในนี้อะไรครับ ขอดูหน่อย” ผมบอกทหารบนกระบะ

“ไม่ได้ครับ” คนหนึ่งว่า
“ผมต้องดู ประชาชนเยอะแยะ คุณทำปิดบังไม่ได้ เปิดผ้าใบ” ผมยืนยัน
“เปิดไม่ได้ ไม่มีอะไร ไม่ต้องดู” เขานั่งยันกลับมา

เห็นท่าจะคุยกันไม่จบ ผมตัดสินใจกระโดดขึ้นไปท้ายรถ ทหารที่นั่งอยู่คว้าคอเสื้อผมไว้ ผมก็คว้าคอเสื้อเขา แขนอีกข้างถูกทหารที่อยู่ข้างรถดึงไว้ สภาพคือตัวเองนั่งยองๆอยู่บนกระบะ สองมือกาง 180 องศา เพราะทั้งดึงคอเขาและถูกเขาดึง พรรคพวกที่ไปด้วยกันเริ่มกอดปล้ำกับทหารคนอื่น ทำท่าจะบานเป็นมวยหมู่

เห็นผู้สื่อข่าวกับมวลชนกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้าซอยตามมา “หยุดเดี๋ยวนี้ เราไม่ได้มารบกับเจ้าหน้าที่ แค่ขอให้เปิดผ้าใบให้ดู ให้ผู้สื่อข่าวเป็นพยาน” ผมพยายามเปลี่ยนสถานการณ์

ไม่รู้สัญญาณจากตรงไหน ทหารที่กำลังทั้งปล้ำทั้งดึงกันอยู่หยุดนิ่ง ยอมให้เราเปิดผ้าใบ ภาพที่เห็นคือเอ็ม 16 วางซ้อนกันเต็มกระบะ น่าจะหลายสิบกระบอก

“คุณจะเอาปืนพวกนี้ไปทำอะไร” ผมถามแต่ไม่มีเสียงตอบ
“รถตู้น่าจะมีปัญหานะ” เสียงคนหนึ่งในวงกระซิบ ผมบอกผู้สื่อข่าวให้บันทึกภาพปืนกองนั้นไว้ แล้วผละมาที่รถตู้ เคาะให้คนข้างในเปิดประตู
ภาพที่เห็นคือทหารคนหนึ่งในเครื่องแบบลายพราง สวมถุงมือดำ หมวกไหมพรมดำแค่หน้าผาก

“รถคันนี้คุณนั่งคนเดียว?”
เขาพยักหน้า
“ขอดูอาวุธคุณหน่อย”
ทำท่าอึกอักแล้วล้วงใต้เบาะหยิบเอ็ม 16 กับลูกซองยาวมาอย่างละ 1 กระบอก
“ไม่ใช่ คุณไม่น่าใช้ของพวกนี้ ผมขอดูของที่คุณใช้จริงๆ” ผมพูดพร้อมเดินอ้อมไปท้ายรถตู้ เปิดกระโปรงหลัง พบกล่องยาวคล้ายกล่องกีตาร์วางอยู่
เปิดกล่องดูพบปืนสไนเปอร์สีลายพราง ผมไม่เคยเห็นปืนแบบนี้ จะเรียกรุ่นอะไร ขนาดไหนก็ไม่รู้ แต่หลังเสธ.แดงถูกลอบยิงหนังสือพิมพ์ลงรูปอาวุธที่คาดว่าเป็นฑูตสังหาร หนึ่งในนั้นคือปืนแบบเดียวกันนี้

สไนเปอร์ไม่ใช่เพิ่งมาคืนวันที่ 10 เม.ย. แต่ปรากฏตัวตั้งแต่วันที่ 9 ในขบวนรถที่กำลังมุ่งหน้าไปไทยคม บังเอิญมาติดขบวนผมสกัดไว้ มีการซุกซ่อนอาวุธสงครามเต็มคันรถ

ช่วงที่กำลังดึงโน่นเปิดนี่กันอยู่ ผมเห็นนายทหารคนหนึ่งขึ้นไปนั่งบนกระโปรงรถปิคอัพในท่าเตรียมพร้อม ทราบภายหลังว่าเป็นหัวหน้าหน่วยล่าสังหารในกองทัพ เหลือบไปเห็นระดับนายพันอีกคนโทรรายงานใครบางคนว่า “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อยู่ตรงนี้ ขวางพวกเราอยู่ครับ”
ผมบอกว่าพวกคุณต้องกลับ อาวุธมากมายขนาดนี้ไปที่ไทยคมไม่ได้ สื่อมวลชนมีหลักฐานหมดแล้ว
พวกเขายอมวกรถกลับ ผมไปสมทบที่ไทยคม ผลักดันกันพักหนึ่ง ไม่มีใครบาดเจ็บรุนแรง เรายึดอาวุธไว้ได้มากแล้วส่งคืนตำรวจทั้งหมดตรงนั้น รัฐบาลยอมเปิด PTV พลบค่ำพวกเรานั่งรถ 6 ล้อออกจากลาดหลุมแก้ว มาโบกแท็กซี่ริมถนนใหญ่กลับราชประสงค์
คืนนั้นอภิสิทธิ์แถลงออกโทรทัศน์ด้วยอาการหงุดหงิดเห็นชัด ประกาศว่าจะไม่ยอมให้เกิดเหตุแบบนี้อีกต่อไป
รุ่งขึ้นจึงเป็นวันล้อมปราบประชาชน ปืนติดลำกล้องถูกนำมาใช้ จับเป้าตามศรีษะและร่างกายประชาชน ศพแล้วศพเล่า

ถนนราชดำเนินกลายเป็นทุ่งสังหาร เวทีผ่านฟ้ามีเสียงหวีดร้อง ร่ำไห้ระงม พี่น้องจับมือ กอดปลุกปลอบกำลังขวัญกันและกัน คนหนุ่มสาวออกไปกันทหารอยู่รอบนอก อายุมากหน่อยชะเง้อคอยส่งใจอยู่หน้าเวที

ไม่มีใครคิดว่าจะเจอเหตุการณ์เช่นนี้ เพียงเรียกร้องรัฐบาลยุบสภา กลับถูกไล่ฆ่า ไล่ยิง ราวกับทั้งหมดเป็นเศษดินใส่เสื้อสีแดง ไม่ใช่คนบนผืนดินเดียวกัน
12 ปีผ่านไป กลุ่มคนที่ถูกกล่าวหาเป็นชายชุดดำลอบยิงเจ้าหน้าที่ในคืนเกิดเหตุ สู้คดีในศาลยกฟ้องทุกคดี จำนวนมากถูกขังอยู่หลายปีจนศาลฎีกายกฟ้อง

แต่ชายในเครื่องแบบพร้อมอาวุธสงคราม และกลุ่มคนสั่งการปราบปรามประชาชน ไม่มีใครถูกจับ ไม่ถูกดำเนินคดีแม้แต่คนเดียวจนบัดนี้

#ยุติธรรมไม่มี12ปีเราไม่ลืม