พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับมอบวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของไฟเซอร์ (Pfizer) จากสาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยมีนายตีแยรี มาตู (H.E. Mr. Thierry Mathou) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำประเทศไทย เป็นผู้แทนรัฐบาลสาธารณรัฐฝรั่งเศส
นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณรัฐบาลฝรั่งเศสสำหรับการสนับสนุนวัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 3,268,620 โดส แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1. วัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 400,140 โดส และอุปกรณ์การฉีด และ 2. วัคซีนไฟเซอร์ ชนิด Ready to Use (RTU) จำนวน 2,868,480 โดส ทั้งนี้ ไทย-ฝรั่งเศสมีความใกล้ชิดมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมยินดีที่ได้ร่วมมือกันในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข เพื่อร่วมกันก้าวผ่านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ไทยจะใช้ประโยชน์จากวัคซีนที่ได้รับ ให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง เท่าเทียม และจะสนับสนุนการบริจาควัคซีนให้แก่ประเทศต่างๆ เช่นกัน เพื่อให้ทุกประเทศสามารถเข้าถึงวัคซีนได้ โดยไทยได้บริจาควัคซีน แอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้ และภูมิภาคแอฟริกา
ด้านเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสฯ กล่าวว่า ยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ส่งมอบวัคซีนในครั้งนี้ ถือเป็นนัยสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงมิตรภาพที่ดี เชื่อมั่นว่าทั้งสองประเทศจะสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 และด้านการสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมยินดีส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคี โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกัน การยกระดับการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-ฝรั่งเศส ตลอดจนความร่วมมือพหุภาคีผ่านอาเซียน-ฝรั่งเศส ในฐานะที่ฝรั่งเศสเป็นประเทศหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาของอาเซียน
นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศส เห็นพ้องและพร้อมจะยกระดับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศสู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ผ่านการลงนามความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้าน (Partnership and Cooperation Agreement – PCA) ให้บรรลุผลสำเร็จโดยเร็ว โดยฝรั่งเศสพร้อมที่จะร่วมมือกับอาเซียนให้มากขึ้น โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายยินดีที่การลงนามในแผนการ สำหรับการดำเนินความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส (ค.ศ.2022-2025) ในช่วงระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเกี่ยวกับความร่วมมือในอินโด-แปซิฟิก ณ กรุงปารีส เป็นผลสำเร็จ