นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจ เรื่อง ความคิดเห็นต่อ "10 มาตรการช่วยเหลือประชาชน" กรณีศึกษา ระหว่างผู้รับประโยชน์ตรง กับ ผู้รับประโยชน์ทางอ้อม ทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,159 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 23-26 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา พบว่า
ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 92.1 ของกลุ่มผู้ได้รับประโยชน์ตรงได้แก่ พนักงานบริษัทเอกชน ผู้ประกอบการ เป็นต้น พอใจต่อมาตรการลดอัตราเงินสมทบของนายจ้างและลูกจ้างที่อยู่ในระบบประกันสังคมมาตรา 33 จาก 5% เหลือ 1% เพื่อให้ลูกจ้างและนายจ้างสามารถมีกำลังในการใช้จ่ายและผู้ประกอบการสามารถมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นในการดำเนินธุรกิจในช่วงถัดไป ในขณะที่ผู้รับประโยชน์ทางอ้อม ร้อยละ 58.3 พอใจ
นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 91.2 ของผู้ได้รับประโยชน์ตรง ได้แก่ กลุ่มผู้ใช้ก๊าซ NGV พอใจต่อการคงราคาขายปลีกผู้ที่ใช้ก๊าซ NGV ไว้ที่ 15.59 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่ ร้อยละ 55.0 ของกลุ่มผู้ได้รับประโยชน์ทางอ้อมพอใจ
หากเรียงลำดับสัดส่วนของผู้ได้รับประโยชน์ตรงที่พอใจต่อมาตรการอื่นๆ พบว่า ร้อยละ 88.2 พอใจต่อการเพิ่มเงินช่วยเหลือเพื่อซื้อก๊าซหุงต้มสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 3.6 ล้านคน โดยเพิ่มเงินจากเดิม 45 บาท เป็น 100 บาท/เดือน ร้อยละ 87.1 พอใจต่อการกำกับดูแลการปรับราคาก๊าซหุงต้มในช่วงตั้งแต่เดือนเมษายน-มิถุนายน โดยใช้กองทุนน้ำมันเข้าไปช่วยลดผลกระทบจากการปรับราคาให้ไม่ขึ้นสูงเกินไป ร้อยละ 87.1 เช่นกัน พอใจต่อส่วนลดซื้อก๊าซหุงต้มเดือนละ 100 บาท สำหรับผู้ค้าหาบเร่แผงลอยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวนประมาณ 5,500 คน ร้อยละ 86.8 พอใจต่อผู้ขับขี่แท็กซี่มิเตอร์ภายใต้โครงการลมหายใจเดียวกัน สามารถซื้อก๊าซได้ในราคา 13.62 บาทต่อกิโลกรัม
ร้อยละ 86.6 พอใจต่อการช่วยเหลือค่าน้ำมันให้กับผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมการขนส่งทางบก จำนวน 157,000 คน โดยช่วยลดค่าใช้จ่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 250 บาทต่อเดือน และขอให้กรมการขนส่งทางบกกำกับราคาการให้บริการเพื่อให้ประชาชนที่ต้องใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเท่าเดิม ร้อยละ 85.2 พอใจต่อ การตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตร ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2565 หลังจากนั้น รัฐบาลจะเข้าไปช่วยเหลือส่วนที่ราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้นครึ่งนึง
ในขณะที่ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 83.9 พอใจต่อการช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน โดยลดค่า Ft ลง 22 สตางค์ต่อหน่วยในช่วงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 82.5 พอใจต่อการลดอัตราเงินสมทบผู้ประกันตนมาตรา 39 จาก 9% เหลือ 1.9% และลดอัตราเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 40 ลงเหลือ 42-180 บาทต่อเดือน ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงความพอใจต่อ 10 มาตรการช่วยเหลือโดยรวม พบว่าร้อยละ 84.2 ระบุ พอใจ และร้อยละ 15.8 ระบุ ไม่พอใจ
นอกจากนี้ เมื่อถามถึงการสนับสนุนของประชาชน ต่อ การออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมของภาครัฐ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 78.0 ระบุ สนับสนุน และร้อยละ 22.0 ระบุ ไม่สนับสนุน
ที่น่าสนใจคือ เมื่อถาม ความคิดเห็นของประชาชน ต่อการให้โอกาสการทำงานของรัฐบาล ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 59.7 ระบุ ยังให้โอกาสรัฐบาลได้ทำงานต่อ ในขณะที่ ร้อยละ 40.3 ระบุ ไม่ให้โอกาส
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า ผลโพลนี้สะท้อนให้เห็นอย่างน่าสนใจว่า วิกฤตความเดือดร้อนของประชาชนที่กำลังเผชิญ ที่สืบเนื่องมาจากผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19 และสงครามทางทหารระหว่างอยู่เครนกับรัสเซีย ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ซึ่งหลายประเทศได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและอ้อม โดยแต่ละประเทศได้ออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนจากผลกระทบครั้งนี้ เช่น เกาหลีใต้ ยืดการลดภาษีพลังงานออกไป ฟิลิปปินส์ ดำเนินโครงการอุดหนุนเชื้อเพลิงสำหรับระบบคมนาคม มาเลเซีย ใช้งบประมาณ เพื่ออุดหนุนปิโตรเลียม ฝรั่งเศส ประกาศแผนลดภาษีค่าใช้จ่ายด้านคมนาคม สำหรับผู้สัญจรลงอีก 10% และบราซิลการให้เงินอุดหนุนและการยกเว้นภาษี เป็นต้น
ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล กล่าวต่อว่า มาตรการที่รัฐบาลออกมา ส่วนใหญ่ได้รับความพึงพอใจจากประชาชนค่อนข้างมาก ซึ่งคล้ายกับมาตรการต่างๆ ของหลายประเทศที่กำลังออกมาให้ความสำคัญในการช่วยเหลือประชาชนจากผล กระทบจากโควิดและสงคราม ทั้งด้านพลังงาน การขนส่ง ค่าครองชีพ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
อย่างไรก็ตาม ความต้องการของประชาชนในการขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลในวิกฤตเศรษฐกิจยังมีอีกมาก ซึ่งตรงข้ามกับการจัดเก็บรายได้เข้าแผ่นดินของรัฐบาลที่ลดลง ดังนั้นการบริหารเงินสาธารณะคงคลังปัจจุบันให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงมีความสำคัญที่รัฐบาลจำเป็นต้องกำหนดความเร่งด่วนกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงานสร้างรายได้ที่ยั่งยืนและตรงกับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ ที่เป็นฐานรากหลักของประเทศ เช่น กระตุ้นฟื้นตัวการท่องเที่ยว ที่มีธุรกิจลูกโซ่ระดับรากหญ้าได้รับประโยชน์เป็นวงกว้าง เป็นต้น ซึ่งจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับมาตรการควบคุมโรคคู่กันไป