วันนี้ (24 มี.ค.) พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. ในฐานะโฆษก บช.น. พ.ต.อ.ศิรณวิชญ์ อินทร ผกก.สส.บก.น.1 บช.น. พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ห้วยขวาง พร้อมเจ้าหน้าฝ่ายสืบสวน สน.ห้วยขวาง และ กก.สส.บก.น.1 ร่วมกันแถลงผลจับกุม นายวสันต์ ว่องชาญกิจ อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาก่อเหตุชิงทรัพย์ร้านทองต่อเนื่องหลายพื้นที่ โดย พล.ต.ท.สำราญ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 มีนาคม ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 17.00 น. ภาพจากกล้องวงจรปิดสามารถจับภาพนายวสันต์ ขณะเข้าไปภายในร้านทองแห่งหนึ่ง ย่านภาษีเจริญ และทำทีขอดูสร้อยคอทองคำ จำนวน 2 เส้น หนักรวม 2 บาท และเมื่อพนักงานขายเผลอ นายวสันต์ ได้ชิงสร้อยทอง 2 เส้นดังกล่าว หนีออกจากร้านทันที
จากนั้น วันที่ 20 มีนาคม นายวสันต์ได้นำสร้อยทองดังกล่าวที่ชิงมาจากร้านทองในพื้นที่ย่านภาษีเจริญ ไปขายที่ร้านทองเพชรยินดี ย่านห้วยขวาง จากนั้น นายวสันต์ ยังไปก่อเหตุลักขโมยรถจักรยานยนต์ ภายในหมู่บ้านเอื้ออาทร ย่านหทัยราษฎร์ ในพื้นที่ สน.นิมิตใหม่ด้วย และใช้ขับตระเวนขโมยเสื้อวินมอเตอร์ไซค์รับจาง ก่อนขับขี่จักรยายนต์ที่ขโมยมา สวมเสื้อวินมอเตอร์ไซค์หมายเลข 16 ย้อนกลับมาก่อเหตุชิงทรัพย์ร้านทองเพชรยินดี ย่านห้วยขวาง อีกครั้ง ในช่วงเช้าของวันที่ 22 มีนาคม
จากการสอบสวน ผู้ต้องหารับสารภาพว่า เป็นคนร้ายที่ก่อเหตุจริง ทั้งในพื้นที่ย่านภาษีเจริญ และพื้นที่ห้วยขวาง เนื่องจากก่อนหน้านี้ ผู้ต้องหาเคยติดโควิด-19 ทำให้ต้องพักรักษาตัวนานกว่า 1 เดือน และหลังรักษาหายแล้วก็ตกงาน ประกอบกับมีลูกที่ต้องดูแลรับผิดชอบถึง 5 คน จึงตัดสินใจก่อเหตุดังกล่าว หวังนำเงินไปใช้ดูแลจุนเจือครอบครัว
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของคนร้ายนั้น ไม่พบประวัติคดีชิงทรัพย์แต่อย่างใด พบเพียงประวัติเคยก่อเหตุทำร้ายร่างกายเมื่อปี 2562 เท่านั้น
จากนั้น วันที่ 20 มีนาคม นายวสันต์ได้นำสร้อยทองดังกล่าวที่ชิงมาจากร้านทองในพื้นที่ย่านภาษีเจริญ ไปขายที่ร้านทองเพชรยินดี ย่านห้วยขวาง จากนั้น นายวสันต์ ยังไปก่อเหตุลักขโมยรถจักรยานยนต์ ภายในหมู่บ้านเอื้ออาทร ย่านหทัยราษฎร์ ในพื้นที่ สน.นิมิตใหม่ด้วย และใช้ขับตระเวนขโมยเสื้อวินมอเตอร์ไซค์รับจาง ก่อนขับขี่จักรยายนต์ที่ขโมยมา สวมเสื้อวินมอเตอร์ไซค์หมายเลข 16 ย้อนกลับมาก่อเหตุชิงทรัพย์ร้านทองเพชรยินดี ย่านห้วยขวาง อีกครั้ง ในช่วงเช้าของวันที่ 22 มีนาคม
จากการสอบสวน ผู้ต้องหารับสารภาพว่า เป็นคนร้ายที่ก่อเหตุจริง ทั้งในพื้นที่ย่านภาษีเจริญ และพื้นที่ห้วยขวาง เนื่องจากก่อนหน้านี้ ผู้ต้องหาเคยติดโควิด-19 ทำให้ต้องพักรักษาตัวนานกว่า 1 เดือน และหลังรักษาหายแล้วก็ตกงาน ประกอบกับมีลูกที่ต้องดูแลรับผิดชอบถึง 5 คน จึงตัดสินใจก่อเหตุดังกล่าว หวังนำเงินไปใช้ดูแลจุนเจือครอบครัว
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของคนร้ายนั้น ไม่พบประวัติคดีชิงทรัพย์แต่อย่างใด พบเพียงประวัติเคยก่อเหตุทำร้ายร่างกายเมื่อปี 2562 เท่านั้น