ตามที่ได้มีข่าวสารปรากฎกล่าวถึงเรื่องครม. อนุมัติไทยร่วมเป็นภาคีสถาบันวัคซีนนานาชาติ เพื่อการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของโลก ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลจริง
คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีสถาบันวัคซีนนานาชาติ (International Vaccine Institute : IVI) อย่างสมบูรณ์ และอนุมัติให้ประเทศไทยสนับสนุนงบประมาณแก่ IVI ปีละ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.25 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี หมวดเงินอุดหนุนของกระทรวงสาธารณสุข เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2566 เป็นต้นไป และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำสัตยาบันสาร เพื่อการเข้าร่วมเป็นภาคี IVI อย่างสมบูรณ์
ทั้งนี้ IVI จัดตั้งขึ้นโดยข้อริเริ่มของสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNPD) มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เกาหลีใต้ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความมั่นคงในการเข้าถึงวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย การวิจัย พัฒนา และปรับปรุงวัคซีนชนิดใหม่ รวมถึงการเสริมสร้างศักยภาพของประเทศกำลังพัฒนาในด้านการพัฒนา การผลิต และการนำเข้าวัคซีนโดย IVI มีหน้าที่ดำเนินการ 4 โครงการหลัก ได้แก่ ให้ความช่วยเหลือด้านการฝึกอบรมและช่วยเหลือทางเทคนิคเกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิตวัคซีน, ดำเนินการศึกษาวิจัยในห้องปฏิบัติการและภาคสนาม, ประเมินวัคซีน โดยการวิจัยเชิงทดลองทางคลินิกและภาคสนาม และร่วมมือกับผู้ผลิตวัคซีนเพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาวัคซีน ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการจัดตั้ง IVI พร้อมธรรมนูญแนบท้ายข้อตกลง เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2539 แต่ยังไม่ได้เป็นภาคีโดยสมบูรณ์จนกว่าจะมีการให้สัตยาบัน
สำหรับประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคี IVI อย่างสมบูรณ์ ก็คือ จะช่วยเสริมสร้างโอกาสในการศึกษา พัฒนาความรู้และศักยภาพในด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีนทั้งภายในและภายนอกประเทศจากโครงการความร่วมมือต่าง ๆ เช่น โครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนสำหรับการทดลองในมนุษย์ โครงการทดลองในห้องปฏิบัติการศูนย์เฝ้าระวังโรครวมถึงได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านวัคซีน การพัฒนาบุคลากรด้านวัคซีน และการยกระดับความสัมพันธ์กับ IVI และประเทศสมาชิกให้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ได้สอดคล้องกับนโยบายวัคซีนแห่งชาติของประเทศไทย ที่สนับสนุนการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่หลากหลายในด้านการวิจัย พัฒนา และผลิตวัคซีน เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านวัคซีนของประเทศไทย มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของโลก
ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.prd.go.th หรือโทร. 02 618 2323
คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีสถาบันวัคซีนนานาชาติ (International Vaccine Institute : IVI) อย่างสมบูรณ์ และอนุมัติให้ประเทศไทยสนับสนุนงบประมาณแก่ IVI ปีละ 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.25 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี หมวดเงินอุดหนุนของกระทรวงสาธารณสุข เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2566 เป็นต้นไป และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำสัตยาบันสาร เพื่อการเข้าร่วมเป็นภาคี IVI อย่างสมบูรณ์
ทั้งนี้ IVI จัดตั้งขึ้นโดยข้อริเริ่มของสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNPD) มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เกาหลีใต้ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความมั่นคงในการเข้าถึงวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย การวิจัย พัฒนา และปรับปรุงวัคซีนชนิดใหม่ รวมถึงการเสริมสร้างศักยภาพของประเทศกำลังพัฒนาในด้านการพัฒนา การผลิต และการนำเข้าวัคซีนโดย IVI มีหน้าที่ดำเนินการ 4 โครงการหลัก ได้แก่ ให้ความช่วยเหลือด้านการฝึกอบรมและช่วยเหลือทางเทคนิคเกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิตวัคซีน, ดำเนินการศึกษาวิจัยในห้องปฏิบัติการและภาคสนาม, ประเมินวัคซีน โดยการวิจัยเชิงทดลองทางคลินิกและภาคสนาม และร่วมมือกับผู้ผลิตวัคซีนเพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาวัคซีน ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการจัดตั้ง IVI พร้อมธรรมนูญแนบท้ายข้อตกลง เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2539 แต่ยังไม่ได้เป็นภาคีโดยสมบูรณ์จนกว่าจะมีการให้สัตยาบัน
สำหรับประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคี IVI อย่างสมบูรณ์ ก็คือ จะช่วยเสริมสร้างโอกาสในการศึกษา พัฒนาความรู้และศักยภาพในด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีนทั้งภายในและภายนอกประเทศจากโครงการความร่วมมือต่าง ๆ เช่น โครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนสำหรับการทดลองในมนุษย์ โครงการทดลองในห้องปฏิบัติการศูนย์เฝ้าระวังโรครวมถึงได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านวัคซีน การพัฒนาบุคลากรด้านวัคซีน และการยกระดับความสัมพันธ์กับ IVI และประเทศสมาชิกให้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ได้สอดคล้องกับนโยบายวัคซีนแห่งชาติของประเทศไทย ที่สนับสนุนการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่หลากหลายในด้านการวิจัย พัฒนา และผลิตวัคซีน เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านวัคซีนของประเทศไทย มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของโลก
ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.prd.go.th หรือโทร. 02 618 2323