นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาล โดยศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ได้ปรับมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 สำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักร โดยจะเริ่มให้ผู้เดินทางจากทุกประเทศทั่วโลกลงทะเบียนเพื่อขออนุญาตเข้าประเทศไทยผ่านระบบ Test & Go ได้อีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นไป ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ในฐานะท่าอากาศยานหลักของประเทศ มีความพร้อมในการรองรับผู้โดยสารที่จะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ภายใต้มาตรการคัดกรองที่เข้มงวด ปฏิบัติตามแนวทาง COVID-Free Setting ตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข โดยได้บูรณาการกับหน่วยงานต่างๆ ที่ปฏิบัติงานร่วมกัน อาทิ ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ทสภ. (EOC) ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว สายการบิน ตลอดจนผู้ประกอบการโรงแรม
นายกิตติพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทสภ. ยังคงให้ความสำคัญในการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุข D-M-H-T-T อย่างเคร่งครัด ตลอดจนเน้นย้ำในการดูแลรักษาความสะอาดในทุกพื้นที่ภายในท่าอากาศยาน รวมถึงบริเวณพื้นที่จุดสัมผัสร่วม ตลอด 24 ชั่วโมง และในส่วนของการให้บริการขนส่งผู้โดยสารไปยังโรงแรมที่จองล่วงหน้านั้น ในกรณีที่รถโรงแรมสำหรับผู้โดยสารระบบ Thailand Pass ไม่เพียงพอ ทสภ. ได้จัดเตรียมรถแท็กซี่ที่ผ่านมาตรฐาน Sha plus และ AOT Limousine พร้อมให้บริการผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศที่จองโรงแรมไว้ล่วงหน้าตามมาตรการที่ ศบค. กำหนด ภายใต้มาตรการควบคุมการส่งผู้โดยสารที่เข้มงวด
สำหรับความพร้อมด้านบุคลากร ผู้ปฏิบัติงานจากทุกภาคส่วนที่ปฏิบัติงาน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิขณะนี้ อยู่ระหว่างการฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 ซึ่งคาดว่าปลายเดือนกุมภาพันธ์ จะสามารถฉีดได้ครบตามเป้าหมายที่ตั้งไว้จำนวน 25,000 คน นอกจากนั้น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิยังมีการสุ่มตรวจคัดกรองผู้ปฏิบัติงานที่มีความเสี่ยงด้วยวิธี ATK เป็นประจำทุกสัปดาห์ ซึ่งเป็นไปตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการ
ทั้งนี้ ตามที่รัฐบาลมีนโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ถึงวันที่ 29 มกราคม 2565 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวมทั้งสิ้น 381,871 คน แบ่งเป็นผู้เดินทางผ่านระบบ Test & Go จำนวน 317,754 คน ระบบ Sandbox จำนวน 22,918 คน ระบบ Quarantine 7 วัน จำนวน 30,418 คน Quarantine 10 วัน จำนวน 9,950 คน และ Quarantine 14 วัน จำนวน 831 คน