นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควมคุมการดำเนินนโยบายตามที่ได้สั่งการ และชื่นชมการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านเศรษฐกิจ หลังรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจไทยขยายตัวในอนาคต พร้อมยืนยันรัฐบาลเดินถูกทางเน้นการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม 6 ด้าน
โดยข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ คาดการณ์ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2565 จะขยายตัวในช่วง 3.5-4.5% ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุน เช่น การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภคของภาคเอกชนและภาครัฐ การลงทุนรวม มูลค่าการส่งออกและนำเข้าสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ ดุลการค้า และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของ สํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ที่เปิดเผยว่า ในปี 2565 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ยังคงขยายตัว 4-5% เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคอุตสาหกรรม หรือจีดีพีภาคอุตสาหกรรม ที่ขยายตัว 2.5-3.5% โดยไทยมีศักยภาพหลายด้านที่ได้เปรียบประเทศคู่ค้า ทั้งการมีแรงงานทักษะที่มีฝีมือและคุณภาพ วัตถุดิบทางการเกษตร ที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมในการเป็นศูนย์กลางภูมิภาค ตลอดจนโครงการลงทุนต่าง ๆ ผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สอดคล้องกับแนวนโยบายด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมที่รัฐบาลให้ความสำคัญเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งเมื่อรัฐบาลปลดล็อกการเดินทางระหว่างประเทศแบบ Test and Go จะช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้อีกมาก
ทั้งนี้ รัฐบาลเน้นการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม 6 ด้าน ได้แก่ ส่งเสริมเกษตรอุตสาหกรรมอัจฉริยะ พัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับหมุดหมายการพัฒนาตามตารางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ.2566-2570) พัฒนาผู้ประกอบการและภาคการผลิตไปสู่ 4.0 เช่น การสร้างและพัฒนาผู้ประกอบการอัจฉริยะ ส่งเสริมเอสเอ็มอี เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์อย่างสร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และดิจิทัล พัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จัดตั้งและส่งเสริมการลงทุนนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และการยกระดับการให้บริการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้เร่งพัฒนาทักษะแรงงานทั้ง Upskill และ Reskill โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานใหม่และนักศึกษาอาชีวะให้เป็นแรงงานคุณภาพรองรับเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งอนาคต 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้เร่งออกโครงการต่างๆ เพื่อเพิ่มจำนวนแรงงานที่เป็นที่ต้องการที่สอดรับกับนโยบายมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ต่างๆ ควบคู่กันไปด้วย
นายธนกร เปิดเผยเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่า รัฐบาลคำนึงถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งแผนในระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังคงต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูและปรับใช้มาตรการให้เหมาะสม โดยต้องใช้ความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ให้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อมั่นว่า การปรับแก้มาตรการ และนโยบายของไทย วิเคราะห์ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและตามสถานการณ์ตลาดระหว่างประเทศ จะเป็นรากฐานสำคัญที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืน