ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง "การเมืองไทย หลัง พลังประชารัฐ ปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่" กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพ กระจายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ จำนวน 1,105 ตัวอย่าง พบว่า
ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 77.3 เห็นด้วยที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และพวก ออกไปจากพรรคพลังประชารัฐ ในขณะที่ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 74.0 เชื่อว่าสังคมไทยจะเข้มแข็งมากขึ้น จากการตรวจสอบ คัดกรองคนดี ซื่อสัตย์สุจริตปกครองบ้านเมือง
ที่น่าพิจารณาคือ ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 71.4 ระบุ พรรคร่วมรัฐบาลจะขัดแย้งกันน้อยลง ร้อยละ 70.7 ระบุ การต่อรองผลประโยชน์ทางการเมืองจะลดลง ร้อยละ 70.6 ระบุ ความมั่นคงและความเชื่อมั่นต่อตัวนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สูงขึ้น ร้อยละ 68.8 ระบุ ภายในพรรคพลังประชารัฐมีเอกภาพมากขึ้น และร้อยละ 67.1 ระบุ เสถียรภาพของรัฐบาลจะดีขึ้น ตามลำดับ
ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 71.5 ระบุ อนาคตการเมืองไทยน่าจะดีขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 28.5 ระบุ ไม่ดีขึ้น นอกจากนี้ เมื่อถามถึงจุดยืนทางการเมืองของประชาชนหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐ พบว่า เกินกว่า 1 ใน 3 เล็กน้อย หรือร้อยละ 35.5 สนับสนุนรัฐบาล ร้อยละ 35.4 ขออยู่ตรงกลาง เป็นพลังเงียบ และร้อยละ 29.1 ไม่สนับสนุนรัฐบาล
ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล กล่าวว่า ผลโพลชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ออกไปจากพรรคพลังประชารัฐ นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าสังคมไทยจะเข้มแข็งมากขึ้น จากการร่วมกันตรวจสอบคัดกรองคนดี ซื่อสัตย์สุจริตปกครองบ้านเมือง โดยมองว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะขัดแย้งกันน้อยลง เพราะที่ผ่านมาเห็นปัญหาความขัดแย้งชัดเจน ในพื้นที่เลือกตั้งซ่อมและรอยร้าวอื่นๆ
นอกจากนี้ ประชาชนยังมองด้วยว่า การต่อรองผลประโยชน์ของนักการเมืองจะลดลง จึงขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะใช้ความเป็นตัวตนในโอกาสนี้ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นและความมั่นคงในเสถียรภาพของรัฐบาล กล้าถือธงนำเปลี่ยนแปลงการเมืองใหม่ และเร่งขับเคลื่อนบริหารประเทศ ทำสิ่งที่ถูกต้องและยึดประโยชน์ส่วนรวม ทั้งยังเป็นจังหวะการเปลี่ยนแปลงจากการต่อรองผลประโยชน์ของนักการเมืองบางกลุ่ม พลิกกลับมาเป็นการขับเคลื่อนพลังของความดี ความถูกต้อง ตอบสนองผลประโยชน์สูงสุดกับประชาชนทั้งประเทศ ในแต่ละพื้นที่ชุมชนที่มีรากเหง้าของปัญหาแตกต่างกัน เพื่อทำให้ฐานสนับสนุนรัฐบาล พรรคร่วมหลายพรรคและความเชื่อมั่นในตัวผู้นำเพิ่มสูงขึ้น จากการเข้าไปแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนทุกข์ยากและลดความเครียดของประชาชนที่มีอยู่ในเวลานี้