นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้รายงานการสัมภาษณ์เจ้าของบรรทมฟาร์ม เลขที่ 33 ต.ห้วยยาง อ.แกลง จ.ระยองว่า หมูในฟาร์มกว่า 1,500 ตัว และฟาร์มใกล้เคียงที่เลี้ยงมา 5 เดือน ถึงเวลาขายแล้ว แต่ยังขายไม่ออก ซึ่งขายราคาหมูเป็น ราคากิโลกรัมละ 60 บาท ราคาถูกกว่าที่เป็นข่าวอยู่ในเวลานี้ แต่กลับไม่มีคนมาซื้อนั้น
กรณีดังกล่าวกลายเป็นข่าวครึกโครมและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากของประชาชน ทำให้เป็นที่สงสัยกันอย่างมากว่า ข้อมูลดังกล่าวมีข้อเท็จจริงเป็นเช่นใด ทำให้หลายคนมีความเข้าใจที่คาดเคลื่อนสงสัยถึงสาเหตุการขึ้นราคาเนื้อหมูว่าแท้จริงแล้ว หมูแพงเกิดจากปัจจัยอะไร
กระทั่งเจ้าของฟาร์มหมูบรรทมฟาร์มดังกล่าว ยอมออกมาพูดความจริงหลังจากนั้นว่า หมูของตนไม่ได้ขายให้คนนอก เพราะต้องขายคืนให้บริษัทคู่สัญญาเจ้าเดียวเท่านั้นในราคา 60 บาท/กิโลกรัม เพราะตนได้ทำสัญญาประกันราคาไว้ ไม่ว่าราคาหมูจะขึ้น หรือลง ก็ขายได้ 60 บาท/กก.เท่านั้น
ทั้งนี้ เนื่องจากสุกรและเนื้อสุกร ถูกกระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าภายในใช้อำนาจตามความในมาตรา 9(1) และมาตรา 24 แห่งพรบ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ประกาศให้เป็นสินค้าควบคุม ตามประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 8 พ.ศ. 2564 เรื่อง การกำหนดสินค้าและบริการควบคุม เพื่อประโยชน์ในการดูแลป้องกันการกำหนดราคาซื้อ ราคาจำหน่ายหรือการกำหนดเงื่อนไข และวิธีปฏิบัติทางการค้าอันไม่เป็นธรรม
ดังนั้นกรณีที่มีบริษัทนายทุนใหญ่ไปจ้างเกษตรกรเลี้ยงหมูเป็นคู่สัญญากันหรือเป็นระบบเกษตรพันธสัญญา (Contract Farming) และรับซื้อหมูที่เลี้ยงโตเต็มที่คืนในราคา 60 บาท/กิโลกรัม จึงเป็นข้อมูลที่ชี้ชัดได้ว่า ราคาหมูที่จำหน่ายในท้องตลาดในขณะนี้ที่ราคา 200-300 กิโลกรัมนั้น เป็นราคาที่ค้ากำไรเกินควร เอาเปรียบผู้บริโภคโดยชัดแจ้ง ซึ่งจะอ้างกลไกราคาตลาดไม่ได้ เพราะหมูเป็นสินค้าควบคุมตามกฎหมาย เมื่อข้อมูลจากเกษตรกรชี้ชัดขนาดนี้แล้ว กรมการค้าภายในและหรือกระทรวงพาณิชย์ จะต้องลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเอากับเจ้าของบรรทมฟาร์มดังกล่าว เพื่อยืนยันข้อมูลและตรวจสอบบริษัทคู่สัญญาว่าเป็นบริษัทใด และเหตุใดเมื่อซื้อหมูมาในราคาถูกแล้วทำไมจึงนำไปจำหน่ายหรือชำแหละจำหน่ายขายส่งในราคาที่แพงเกินสมควร และหากเป็นการค้ากำไรเกินควร จะต้องมีบทลงโทษที่รวดเร็ว เด็ดขาด โดยต้องไม่เกรงใจกันหากเจ้าของบริษัทคู่สัญญาเป็นเจ้าพ่อในวงการเลี้ยงหมู่ 1 ใน 3 บริษัทขนาดใหญ่ของประเทศนี้
ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงได้ทำคำร้องส่งไปยัง รมว.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เพื่อดำเนินการตรวจสอบและลงโทษตามอำนาจหน้าที่ หากยังเพิกเฉยสมาคมฯจะนำความไปยื่น ป.ป.ช.หรือฟ้องต่อศาลปกครองต่อไป