ศูนย์สำรวจความคิดเห็น สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้าโพล เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพ จากทั่วประเทศ จำนวน 1,314 หน่วยตัวอย่าง เรื่อง "ความเชื่อมั่นต่อระบบสาธารณสุขของประเทศไทยกับการรับมือโรคโควิด 19 สายพันธุ์ใหม่" พบว่า
เมื่อถามถึงความพึงพอใจต่อมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ของรัฐบาลตั้งแต่มีการแพร่ระบาดจนถึงปัจจุบัน
ร้อยละ 40.03 ระบุว่า ค่อนข้างพึงพอใจ เพราะ ประชาชนได้วัคซีนอย่างทั่วถึง มีมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเข้มงวด สามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19
ร้อยละ 28.08 ระบุว่า ไม่ค่อยพึงพอใจ เพราะ การผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การจัดสรรวัคซีนที่ล่าช้า การนำวัคซีนที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมาฉีดให้แก่ประชาชน
ร้อยละ 16.97 ระบุว่า พึงพอใจมาก เพราะ มีมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเข้มงวด มีการจัดสรรวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้แก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึง สามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อโรคโควิด 19
ร้อยละ 14.92 ระบุว่า ไม่พึงพอใจเลย เพราะ การบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ การบริหารวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ล่าช้า วัคซีนไม่มีคุณภาพ มาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ
ด้านความเชื่อมั่นต่อการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของรัฐบาลในอนาคต
ร้อยละ 36.76 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น เพราะ มาตรการป้องกันไม่เข้มงวด การนำวัคซีนที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมาฉีดให้แก่ประชาชน โรคโควิด-19 มีการกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง
ร้อยละ 32.50 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น เพราะ รัฐบาลสามารถป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถจัดสรรวัคซีนให้แก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึง
ร้อยละ 18.19 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย เพราะ การบริหารไม่มีประสิทธิภาพ แก้ไขปัญหาล่าช้า มาตรการไม่เข้มงวด การบริหารวัคซีนไม่มีประสิทธิภาพ
ร้อยละ 12.55 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก เพราะ มาตรการป้องกันมีความการชัดเจนและเข้มงวด มีการจัดสรรวัคซีนให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง สถานการณ์ภายในประเทศดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจำนวนผู้ติดเชื้อลดลง
สำหรับความกังวลต่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์ "โอมิครอน"
ร้อยละ 34.78 ระบุว่า ค่อนข้างกังวล เพราะ สามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว พักอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงและต้องเดินทางบ่อย วัคซีนที่ได้รับมีประสิทธิภาพลดลงในการป้องกัน มาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยว
ร้อยละ 24.96 ระบุว่า กังวลมาก เพราะ เชื้อกลายพันธุ์สามารถแพร่กระจายได้รวดเร็ว วัคซีนที่ได้รับมีประสิทธิภาพลดลงในการป้องกัน มาตรการคลายล็อกดาวน์ของรัฐบาล การบริหารของรัฐบาลยังไม่มีประสิทธิภาพ
ร้อยละ 22.91 ระบุว่า ไม่ค่อยกังวล เพราะ ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 การแพร่ระบาดภายในประเทศมีจำนวนน้อย ระบบสาธารณสุขของประเทศไทยสามารถรับมือได้ ไม่ได้พักอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง
ร้อยละ 17.35 ระบุว่า ไม่กังวลเลย เพราะ ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ต้องปรับตัวเพื่ออาศัยอยู่กับโรคโควิด-19 ให้ได้ ไม่ได้พักอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง เป็นสายพันธุ์ไม่ค่อยมีความรุนแรง
ด้านความคิดเห็นต่อการกลายพันธุ์ของโรคโควิด-19 ในอนาคต นอกจากสายพันธุ์ "โอมิครอน" และ "เดลตา"
ร้อยละ 36.00 ระบุว่า เกิดการกลายพันธุ์ และมีความรุนแรงมากกว่าเดิม
ร้อยละ 26.56 ระบุว่า เกิดการกลายพันธุ์ และมีความรุนแรงเหมือนเดิม
ร้อยละ 14.84 ระบุว่า เกิดการกลายพันธุ์ แต่มีความรุนแรงน้อยลง
ร้อยละ 8.30 ระบุว่า ไม่เกิดการกลายพันธุ์ ร้อยละ 4.03 ระบุว่า เกิดการกลายพันธุ์ แต่ไม่มีความรุนแรง
ร้อยละ 10.27 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ
สำหรับวิธีการป้องกันตนเองจากโรคโควิด-19
ร้อยละ 94.67 ระบุว่า สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะ
ร้อยละ 76.79 ระบุว่า ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือเจลล้างมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
ร้อยละ 65.07 ระบุว่า ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
ร้อยละ 41.32 ระบุว่า หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง เช่น ตลาด สถานบันเทิง ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
ร้อยละ 36.53 ระบุว่า เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เช่น ยืนหรือนั่งห่างกันอย่างน้อย 1-2 เมตร เป็นต้น
ร้อยละ 10.73 ระบุว่า งดทำกิจกรรมหรืองานเลี้ยงสังสรรค์ทั้งภายในครอบครัวหรือเพื่อนฝูง
ร้อยละ 9.97 ระบุว่า อาบน้ำทันที เมื่อกลับถึงที่พัก และติดตามข่าวสารสถานการณ์เกี่ยวกับโรคโควิด-19 ในสัดส่วนที่เท่ากัน
ร้อยละ 6.77 ระบุว่า ตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19
ร้อยละ 6.70 ระบุว่า กักตัวอยู่บ้าน (Self-isolated) เมื่อรู้สึกไม่สบาย
ร้อยละ 6.09 ทำงานที่บ้าน (Work from home) และเดินทางเท่าที่จำเป็น
ร้อยละ 4.11 ระบุว่า ใช้แอปพลิเคชัน เช่น ไทยชนะ หมอชนะ เป็นต้น
ส่วนความคิดเห็นต่อมาตรการด้านสาธารณสุขของประเทศในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่
ร้อยละ 66.97 ระบุว่า การจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและเพียงพอในการป้องกันโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่
ร้อยละ 46.27 ระบุว่า การจัดหายารักษาโรคโควิด-19 ที่มีคุณภาพ
ร้อยละ 28.39 ระบุว่า การอนุญาตให้ภาคเอกชนสามารถสั่งซื้อ หรือนำเข้าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
ร้อยละ 26.71 ระบุว่า การเพิ่มจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ให้เพียงพอต่อการดูแลและช่วยเหลือผู้ป่วย
ร้อยละ 25.42 ระบุว่า การออกกฎ ข้อบังคับให้ทุกคนในประเทศต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
ร้อยละ 24.12 ระบุว่า การเพิ่มจำนวนเตียง โรงพยาบาลสนาม และหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) ให้เพียงพอต่อการดูแลผู้ป่วย
ร้อยละ 23.21 ระบุว่า การให้ความสำคัญมากขึ้นกับการดูแลบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า
ร้อยละ 21.84 ระบุว่า การพึ่งพาการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ให้มากขึ้น
ร้อยละ 2.82 ไม่ทราบ/ไม่ตอบ
ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงความคิดเห็นต่อมาตรการด้านการเดินทางทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่
ร้อยละ 68.95 ระบุว่า การเพิ่มความเข้มงวดและรัดกุมในการตรวจสอบโรคโควิด-19 กับผู้เดินทางเข้าประเทศทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
ร้อยละ 38.81 ระบุว่า การเพิ่มบทลงโทษที่รุนแรงแก่ผู้ลักลอบขนแรงงานต่างชาติตามชายแดน
ร้อยละ 31.51 ระบุว่า การปิดประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่
ร้อยละ 20.24 ระบุว่า การประกาศจำกัดการเดินทางภายในประเทศทันทีที่มีการแพร่ระบาดภายในประเทศของโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่
ร้อยละ 18.87 ระบุว่า การจำกัดสิทธิของผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนในการเข้าถึงบริการของรัฐ การออกไปในพื้นที่สาธารณะ หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ
เมื่อถามถึงความพึงพอใจต่อมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ของรัฐบาลตั้งแต่มีการแพร่ระบาดจนถึงปัจจุบัน
ร้อยละ 40.03 ระบุว่า ค่อนข้างพึงพอใจ เพราะ ประชาชนได้วัคซีนอย่างทั่วถึง มีมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเข้มงวด สามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19
ร้อยละ 28.08 ระบุว่า ไม่ค่อยพึงพอใจ เพราะ การผ่อนคลายมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การจัดสรรวัคซีนที่ล่าช้า การนำวัคซีนที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมาฉีดให้แก่ประชาชน
ร้อยละ 16.97 ระบุว่า พึงพอใจมาก เพราะ มีมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเข้มงวด มีการจัดสรรวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้แก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึง สามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อโรคโควิด 19
ร้อยละ 14.92 ระบุว่า ไม่พึงพอใจเลย เพราะ การบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ การบริหารวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ล่าช้า วัคซีนไม่มีคุณภาพ มาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ
ด้านความเชื่อมั่นต่อการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของรัฐบาลในอนาคต
ร้อยละ 36.76 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น เพราะ มาตรการป้องกันไม่เข้มงวด การนำวัคซีนที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมาฉีดให้แก่ประชาชน โรคโควิด-19 มีการกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง
ร้อยละ 32.50 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น เพราะ รัฐบาลสามารถป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถจัดสรรวัคซีนให้แก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึง
ร้อยละ 18.19 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย เพราะ การบริหารไม่มีประสิทธิภาพ แก้ไขปัญหาล่าช้า มาตรการไม่เข้มงวด การบริหารวัคซีนไม่มีประสิทธิภาพ
ร้อยละ 12.55 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก เพราะ มาตรการป้องกันมีความการชัดเจนและเข้มงวด มีการจัดสรรวัคซีนให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง สถานการณ์ภายในประเทศดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจำนวนผู้ติดเชื้อลดลง
สำหรับความกังวลต่อโรคโควิด-19 สายพันธุ์ "โอมิครอน"
ร้อยละ 34.78 ระบุว่า ค่อนข้างกังวล เพราะ สามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว พักอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงและต้องเดินทางบ่อย วัคซีนที่ได้รับมีประสิทธิภาพลดลงในการป้องกัน มาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยว
ร้อยละ 24.96 ระบุว่า กังวลมาก เพราะ เชื้อกลายพันธุ์สามารถแพร่กระจายได้รวดเร็ว วัคซีนที่ได้รับมีประสิทธิภาพลดลงในการป้องกัน มาตรการคลายล็อกดาวน์ของรัฐบาล การบริหารของรัฐบาลยังไม่มีประสิทธิภาพ
ร้อยละ 22.91 ระบุว่า ไม่ค่อยกังวล เพราะ ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 การแพร่ระบาดภายในประเทศมีจำนวนน้อย ระบบสาธารณสุขของประเทศไทยสามารถรับมือได้ ไม่ได้พักอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง
ร้อยละ 17.35 ระบุว่า ไม่กังวลเลย เพราะ ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ต้องปรับตัวเพื่ออาศัยอยู่กับโรคโควิด-19 ให้ได้ ไม่ได้พักอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง เป็นสายพันธุ์ไม่ค่อยมีความรุนแรง
ด้านความคิดเห็นต่อการกลายพันธุ์ของโรคโควิด-19 ในอนาคต นอกจากสายพันธุ์ "โอมิครอน" และ "เดลตา"
ร้อยละ 36.00 ระบุว่า เกิดการกลายพันธุ์ และมีความรุนแรงมากกว่าเดิม
ร้อยละ 26.56 ระบุว่า เกิดการกลายพันธุ์ และมีความรุนแรงเหมือนเดิม
ร้อยละ 14.84 ระบุว่า เกิดการกลายพันธุ์ แต่มีความรุนแรงน้อยลง
ร้อยละ 8.30 ระบุว่า ไม่เกิดการกลายพันธุ์ ร้อยละ 4.03 ระบุว่า เกิดการกลายพันธุ์ แต่ไม่มีความรุนแรง
ร้อยละ 10.27 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ
สำหรับวิธีการป้องกันตนเองจากโรคโควิด-19
ร้อยละ 94.67 ระบุว่า สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในพื้นที่สาธารณะ
ร้อยละ 76.79 ระบุว่า ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือเจลล้างมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
ร้อยละ 65.07 ระบุว่า ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
ร้อยละ 41.32 ระบุว่า หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง เช่น ตลาด สถานบันเทิง ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
ร้อยละ 36.53 ระบุว่า เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เช่น ยืนหรือนั่งห่างกันอย่างน้อย 1-2 เมตร เป็นต้น
ร้อยละ 10.73 ระบุว่า งดทำกิจกรรมหรืองานเลี้ยงสังสรรค์ทั้งภายในครอบครัวหรือเพื่อนฝูง
ร้อยละ 9.97 ระบุว่า อาบน้ำทันที เมื่อกลับถึงที่พัก และติดตามข่าวสารสถานการณ์เกี่ยวกับโรคโควิด-19 ในสัดส่วนที่เท่ากัน
ร้อยละ 6.77 ระบุว่า ตรวจหาเชื้อโรคโควิด-19
ร้อยละ 6.70 ระบุว่า กักตัวอยู่บ้าน (Self-isolated) เมื่อรู้สึกไม่สบาย
ร้อยละ 6.09 ทำงานที่บ้าน (Work from home) และเดินทางเท่าที่จำเป็น
ร้อยละ 4.11 ระบุว่า ใช้แอปพลิเคชัน เช่น ไทยชนะ หมอชนะ เป็นต้น
ส่วนความคิดเห็นต่อมาตรการด้านสาธารณสุขของประเทศในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่
ร้อยละ 66.97 ระบุว่า การจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและเพียงพอในการป้องกันโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่
ร้อยละ 46.27 ระบุว่า การจัดหายารักษาโรคโควิด-19 ที่มีคุณภาพ
ร้อยละ 28.39 ระบุว่า การอนุญาตให้ภาคเอกชนสามารถสั่งซื้อ หรือนำเข้าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
ร้อยละ 26.71 ระบุว่า การเพิ่มจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ให้เพียงพอต่อการดูแลและช่วยเหลือผู้ป่วย
ร้อยละ 25.42 ระบุว่า การออกกฎ ข้อบังคับให้ทุกคนในประเทศต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
ร้อยละ 24.12 ระบุว่า การเพิ่มจำนวนเตียง โรงพยาบาลสนาม และหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) ให้เพียงพอต่อการดูแลผู้ป่วย
ร้อยละ 23.21 ระบุว่า การให้ความสำคัญมากขึ้นกับการดูแลบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า
ร้อยละ 21.84 ระบุว่า การพึ่งพาการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ให้มากขึ้น
ร้อยละ 2.82 ไม่ทราบ/ไม่ตอบ
ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงความคิดเห็นต่อมาตรการด้านการเดินทางทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่
ร้อยละ 68.95 ระบุว่า การเพิ่มความเข้มงวดและรัดกุมในการตรวจสอบโรคโควิด-19 กับผู้เดินทางเข้าประเทศทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
ร้อยละ 38.81 ระบุว่า การเพิ่มบทลงโทษที่รุนแรงแก่ผู้ลักลอบขนแรงงานต่างชาติตามชายแดน
ร้อยละ 31.51 ระบุว่า การปิดประเทศเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่
ร้อยละ 20.24 ระบุว่า การประกาศจำกัดการเดินทางภายในประเทศทันทีที่มีการแพร่ระบาดภายในประเทศของโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่
ร้อยละ 18.87 ระบุว่า การจำกัดสิทธิของผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนในการเข้าถึงบริการของรัฐ การออกไปในพื้นที่สาธารณะ หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ