นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงกรณีพบการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ (Influenza) และเขื้อไวรัสโคโรนา (Corona) ในคนเดียวกันที่ต่างประเทศ หรือที่เรียกว่า ฟลูโรนา (Flurona) ว่า ขณะนี้ยังไม่มีนัยสำคัญอะไรที่ทำให้ต้องวิตกกังวล และจากการเฝ้าระวังในประเทศไทยยังไม่พบผู้ติดเชื้อดังกล่าว
ทั้งนี้ ฟลูโรนา เป็นชื่อที่มาจาก ฟลู (Flu) คือ ไข้หวัดใหญ่ และโคโรนา คือ โควิด 19 ซึ่งเชื้อทั้งสองเป็นไวรัสทั้งคู่ แต่เป็นไวรัสคนละตระกูลกัน และทั้งสองตระกูลทำให้เกิดอาการคล้ายๆ กัน คือ มีอาการทางเดินหายใจ เช่น เป็นหวัด คัดจมูก อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว ในกรณีคนที่มีอาการรุนแรงจะทำให้เกิดปอดอักเสบ และอาจเสียชีวิตจากระบบทางเดินหายใจล้มเหลว หรืออวัยวะต่างๆ ล้มเหลว อาการของฟลูโรนาเท่าที่มีการรายงานในปัจจุบัน ยังไม่มีอะไรแตกต่างจากโควิดทั่วไป โอกาสติดเชื้อทั้ง 2 ตัวพร้อมกันค่อนข้างน้อย จำนวนผู้ป่วยที่พบยังมีจำนวนน้อย ขณะนี้มีข้อมูลรายงานการตรวจพบในอิสราเอล บราซิล ฮังการี และฟิลิปปินส์
อย่างไรก็ตาม การที่คนหนึ่งคนติดเชื้อสองอย่างโดยบังเอิญในเวลาเดียวกัน มีความเป็นไปได้ แต่จะผสมพันธุ์กันจนเกิดเป็นไฮบริดไม่ได้ จึงไม่ต้องวิตกกังวล แต่สิ่งที่ควรรู้คือ ทั้งเชื้อไข้หวัดใหญ่ และเชื้อโควิด-19 แพร่กระจายจากทางเดินหายใจในลักษณะที่เป็นฝอยละอองเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการใส่หน้ากาก ล้างมือ รักษาระยะห่าง สามารถป้องกันทั้งสองโรคในเวลาเดียวกัน และถ้าจะสร้างภูมิคุ้มกันให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้น ควรฉีดวัคซีน
สำหรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ แนะนำให้ฉีดในกลุ่มปราะบาง ได้แก่ ผู้สูงอายุ กลุ่มผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง ซึ่งขณะนี้ สปสช. ได้เตรียมวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประมาณ 6 ล้านโดส ให้กลุ่มเหล่านี้ ในขณะที่วัคซีนโควิด-19 จะฉีดให้ครอบคลุมคนในประเทศทั้งหมด
นายแพทย์ศุภกิจ ระบุว่า การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ควรเว้นระยะจากวัคซีนโควิด-19 ราว 1-2 สัปดาห์ เพราะหากฉีดพร้อมกันสองอย่างอาจจะทำให้มีไข้ ปวดเมื่อยมากเกินไป และเมื่อเกิดอาการข้างเคียงก็จะไม่รู้ว่ามาจากวัคซีนตัวใด เพราะฉะนั้นถ้าฉีดวัคซีนโควิด-19 ผ่านไป 1-2 สัปดาห์ หากไม่มีอาการอะไรก็ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ต่อได้